วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติส่วนตัว (Resume)
ชื่อ นาย จิรวัฒน์ จำปาสาร ชื่อเล่น น๊อต ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 77 หมู่ 1 บ้านไร่สีสุก ตำบลไร่สีสุก อำเภอเสนางตนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ โทรศัพท์มือถือ 090-5970732 Email-address notnoott@hotmail.com วัน เดือน ปีเกิด 9 ธันวาคม 2538 น้ำหนัก 55 ส่วนสูง 175 สถานภาพ โสด สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ศาสนา พุทธ ประวัติการศึกษา จบประถมศึกษาจากโรงเรียนชุมชนไร่สีสุก จบมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนอำนาจเจริญ

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีเปรียบไก่ก่อนชน
วิธีเปรียบไก่ก่อนชน การเปรียบไก่เป็นชั้นเชิงของนักเลงไก่ชนทุกประเภท ถือว่าเป็นความสำคัญที่สุดในการชนไก่ก็ว่าได้ เพราะถ้าเปรียบไก่เสียเปรียบคู่ต่อสู้แล้ว ทางชนะมีอยู่แค่ 30% เท่านั้น นอกเสียจากไก่ของเราเก่งมากจริง ๆ จึงจะชนะได้ ถ้าท่านเป็นนักเลงไก่ที่ดีควรเปรียบไก่ให้รอบคอบ อย่าให้เสียเปรียบคู่ต่อสู้เป็นอันขาด ถ้าเปรียบไก่ได้เปรียบคู่ต่อสู้แล้ว จะเป็นทางนำมาซึ่งชัยชนะอย่างง่ายดาย เคล็ดลับในการเปรียบไก่มีอยู่ด้วยกัน 5 วิธีคือ อายุ ควรพิจารณาคู่ต่อสู้ว่าเป็นไก่รุ่นเดียวกันหรือเปล่า แต่ถ้าของเราเป็นไก่ถ่ายของคู่ ต่อสู้เป็นไก่หนุ่มแล้ว ปัญหาเรื่องอายุก็หมดไป ผิวพรรณ ต้องดูหน้าตาคู่ต่อสู้ว่าหน้าตาแก่กร้านมากกว่าเราหรือเปล่า ถ้าผิวพรรณหน้าตาแก่กร้านมากกว่าเรา การเอาชนะก็จะยาก การจับตัว การเปรียบไก่ต้องจับตัวไก่คู่ต่อสู้ การจับไก่ต้องจับให้แน่นและดูบุคลิกลักษณะของคู่ต่อสู้ว่า แคร่หลัง คอ ปั้นขา ส่วนต่าง ๆ อย่าให้ใหญ่กว่าของเราเป็นการดี ส่วนสูง เราต้องเปรียบตามลักษณะของไก่ของเราชอบ ถ้าไก่ชอบตีบน ควรเปรียบให้ สูงกว่าคู่ต่อสู้ แต่ถ้าไก่ชอบตุ้มชอบคาง ก็ควรเปรียบให้ต่ำกว่าคู่ต่อสู้เล็กน้อย (แต่ต้องให้ตัวของเราใหญ่กว่านิดหน่อยจึงจะพอดีกัน) บางคนชั้นเชิงการเปรียบไก่สูงมากมักจะกดไก่ให้ตัวต่ำมากเวลาเปรียบ ข้อนี้ท่านต้องพิจารณาให้ดี พิจารณาด้วยตัวของท่านเองว่าจะตีได้หรือไม่ได้ การดูสกุลไก่ การดูสกุลไก่ต้องดูว่าลักษณะไก่คู่ต่อสู้มีสีสันอะไร หน้าตาเป็นอย่างไรเกล็ดตามขา หน้าแข้ง เป็นอย่างไรดีกว่าเราหรือเปล่า ถ้าคู่ต่อสู้มีดีกว่าเรา เราไม่ควรชนด้วย เพราะโอกาสชนะมีน้อยมาก ถ้าลักษณะคล้ายคลึงกัน การแพ้ ชนะอยู่ที่น้ำเลี้ยงของไก่เอง ไก่ชนที่ควรหาซื้อโดยไม่ต้องปล้ำ ไก่ชนมีอยู่ด้วยกันหลายสี ส่วนมากนิยมสีเหลืองหางขาว ประดู่หางดำ และเขียวกา ไก่สามสีเป็นที่นิยมกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล แต่ไม่มีในตำรา แต่ประสบการณ์ที่ผู้เขียนเคยพบเห็นมา ส่วนมากชนชนะมากกว่าแพ้ คือ ไก่สีด่างแต่เดือยดำ (ด่างสามสีหรือเรียกว่าด่างดอกมะลิ) ไก่สีเทาเดือยดำ (ตัวสีเทาสร้อยคอเหลือง หรือเทาทอง) ไก่สีเทาเขียวหรือเรียกว่าเทาดำ (ไม่ใช่เทาขี้ควาย) ไก่เขียวแต่คอโกร๋น (ตรงโคนคอไม่มีขน) ไก่ตาดำเดือยดำ ไก่เขียวปากขาว แข้งขาว ตาขาว (ตาปลาหมอตาย) ไก่ 6 ชนิดนี้ ถ้าท่านพบเห็นที่ไหน ไม่ต้องปล้ำก็ซื้อได้เลยแต่อย่าซื้อให้แพงนัก ตามตำราบอกว่าไก่ 6 อย่างนี้ ถ้าเปรียบไม่เสียเปรียบ และร่างการสมบูรณ์ดีเต็มที่แพ้ไม่เป็น หรือถ้าแพ้ก็ต้องเป็นต่อ จนเจ้าของออกตัวได้ลอยลำจะแพ้รวดเลยไม่มีแน่นอน (ต้องดูเกล็ดเป็นสิ่งสำคัญทั้งคู่ต่อสู้และของเราด้วย ว่าใครเหนือใคร)
การหาพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ไก่ โดยปกตินักเลงเล่นไก่ชนมักจะหวงพันธุ์ของแม่ไก่มากกว่าของพ่อไก่ เพราะถือกันว่าสายเลือดของแม่จะให้ได้ลูกไก่พันธุ์ที่ดี วิธีที่จะหาพ่อพันธุ์ให้ได้ไก่เก่ง ท่านต้องเป็นซอกแซกไปเที่ยวตามบ่อนไก่ชนบ่อย ๆ และคอยดูว่าไก่ตัวไหนที่เก่ง คือตีแม่น ชั้นเชิงดี หัวใจทรหด อดทน ไม่หนีง่าย ถ้าไก่ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้ เวลาชนเสร็จแล้วชนะ หรือแพ้ จะตาบอดหรือไม่ก็ตาม เอามาทำพ่อพันธุ์ได้ (ตามตำราบอกว่าเอาไก่ที่แพ้มาทำพ่อไก่มันให้ลูกเด็ดนักแล) ท่านซื้อตอนนั้นราคาอาจจะไม่สูงนัก เพราะนักเลงไก่เขาไม่ค่อยเก็บเอาไว้ แต่ถ้าท่านไม่สามารถทำได้ดังกล่าว ท่านต้องไปหาซื้อเอาตามบ้านนักเล่นไก่ชน ส่วนแม่พันธุ์ก็ควรให้มีคุณสมบัติเหมือนตัวผู้ เพราะการผสมพันธุ์ ถ้าทำโดยวิธีการสุกเอาเผากินแล้วจะทำให้ท่านได้ไก่ดียาก เพราะกว่าจะรู้ว่าตัวไหนดีหรือไม่ดีต้องเสียเวลาอย่างน้อยประมาณ 9 - 10 เดือน การหาพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ไก่ ไก่ชน วิธีคัดเลือกแม่พันธุ์ และแม่พันธุ์ไก่ โดยปกตินักนิยมเล่นไก่ชนมักจะเลือกสีเป็นอันดับแรก ดังนั้นไก่ที่จะนำมาเป็นพ่อพันธุ์ควรเลือกจากไก่ที่มีสีดังต่อไปนี้ สีเหลืองหางขาว สีประดู่หางดำ เดือยดำ เล็บดำ ปากดำ (หรือปากคาบแก้ว) สีเขียวเลา (มีสีเขียวสลับกับสีขาวทั้งตัว หางขาวด้วย) สีเขียวกา หรือเขียวแมลงภู่ (หางดำ) เพราะโบราณกล่าวไว้ว่าไก่ 4 สี นี้เป็นสีที่รักเดิมพันมาก ชนได้ราคาแพง ไม่ค่อยแพ้ ส่วนไก่ สีอื่น ๆ นักเลงเล่นไม่นิยมเล่นกัน เพราะเข้าใจว่าเป็นไก่พันธุ์ผสมมาจากสายเลือดอื่น ที่ไม่ใช่ไก่ชนแท้ อาจจะผสมกับไก่โรดส์ หรือไก่เร็คฮอนก็เป็นได้ น้ำใจไก่พวกนี้จึงไม่ทรหดมาก สำหรับแม่พันธุ์นั้นเวลาใช้ผสมพันธุ์ ควรหาให้เป็นสีเดียวกับพ่อพันธุ์ เวลาให้ลูกจะได้สีเหมือนกัน
คุณสมบัติ และลักษณะของพ่อพันธุ์ไก่ นอกจากสีของไก่แล้ว พ่อไก่ควรมีคุณสมบัติ และลักษณะดังต่อไปนี้ ควรเป็นไก่ที่มีประวัติที่ดี เคยชนชนะจากบ่อนมาแล้ว ปากต้องใหญ่ มีร่องน้ำ 2 ข้างปากลึก (ปากสีเดียวกับขา) นัยตาควรเป็นสีขาว (หรือที่เรียกว่าตาปลาหมอตาย หรือตาสีขน สีเดียวกับสร้อยคอ) คอใหญ่ และปล้องคอถี่ ๆ หัวปีกต้องใหญ่ และขนปีกยาว นิ้วเล็กเรียวยาว เม็ดข้าวสารท้องแข้งใหญ่ และแข้งกลม สร้อยคอยาวติดต่อกันถึงสร้อยหลัง หางยาวแข็งและเส้นเล็ก กระดูกหน้าอกใหญ่และยาว เดือยใหญ่ และชิดนิ้วก้อยมากที่สุด อุ้งเท้าบางและเล็บยาว เกล็ดแข้งใสเหมือนเล็บมือ และมีร่องลึก ชั้นเชิงของไก่ชน ปกติไก่ชนจะมีชั้นเชิงการต่อสู้อยู่ 2 อย่าง คือไก่ตั้ง และไก่ลง ส่วนไก่กอดนั้นเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพ่อพันธุ์ไก่ตั้ง แม่พันธุ์ไก่ลง หรือพ่อพันธุ์ไก่ลง กับแม่พันธุ์ไก่ตั้ง ลูกออกมาจึงกลายมาเป็นไก่กอด ส่วนนักเลงเล่นส่วนมากชอบไก่ตั้ง เพราะการต่อสู้ของไก่ตั้งนั้นเหนื่อยช้าไม่ต้องวิ่งมาก เพราะยืนคอยดักตีอย่างเดียว แต่บางคนชอบไก่เชิง เพราะไก่เชิงไม่ค่อยเจ็บตัวเวลาเข้าชนจะลักตีขโมยตี ดังนั้นถ้าท่านจะผสมก็ควรเลือกชั้นเชิงไก่ให้เหมือนกัน กล่าวคือ ถ้าท่านชอบไก่เชิง ก็ควรหาตัวเมียที่มีชั้นเชิงเหมือนตัวผู้ ถ้าท่านชอบไก่ตั้ง ก็ควรเลือกตัวเมีย ให้ตั้งเหมือนตัวผู้ ถ้าท่านไม่เลือกชั้นเชิงให้เหมือนกันแล้ว ลูกออกมาจะชนเลอะเทอะเป็นไก่โง่ ควรระวังให้มาก เพราะปกติไม่ค่อยคัดเลือกไก่กัน ผสมกันเรื่อยไปจึงไม่ค่อยได้ไก่เก่ง ได้น้อยตัว
อาหารที่ดีของไก่
อาหารที่ดีต้องประกอบด้วย - เป็นอาหารที่สมบูรณ์ด้วยวัตถุธาตุ ซึ่งร่างกายต้องการ - ราคาถูกพอสมควร - ไม่บูดเน่า ขึ้นรา - หาได้ง่ายในท้องถิ่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือคน ร่างกายนั้นก็ต้องมีความต้องการอาหาร จึงจะเจริญเติบโต แข็งแรง อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของไก่ เมื่อไก่กินเข้าไปแล้วสามารถทำให้เสริมสร้างส่วนต่างๆ ให้แข็งแรง เติบโต และไข่ดกก็คือโปรตีน โปรตีนในอาหารไก่ถือตามอายุเป็นเกณฑ์ คือ 1. ลูกไก่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 8 อาทิตย์ ควรมีอาหารจำพวกโปรตีน 20-25 % 2. ลูกไก่รุ่นอายุตั้งแต่ 2-4 เดือน ควรมีอาหารจำพวกโปรตีน 16-17 % 3. ไก่ไข่อายุรุ่นสาวขึ้นไป ควรมีโปรตีน 15 % 4. ไก่ที่เลือกไว้เป็นพ่อ - แม่พันธุ์ อายุที่ควรผสมพันธุ์ ควรมีโปรตีน 16 % และควรมีโปรตีนจากอาหารประเภทเนื้อสูงกว่าโปรตีนที่ได้จากอาหารพืช และเพิ่มไวตามินให้อีก การให้ไก่กินอาหาร จะต้องมีส่วนสัดตามความต้องการของร่างกาย ไม่ควรให้แร่ธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป เพราะถ้าให้มากเกินไปจะไม่เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย และอาจจะให้โทษแก่ร่างกายเสียอีก วิธีให้อาหารหยาบ วิธีให้อาหารหยาบมีอยู่ 2 วิธีคือ 1. โปรยลงบนหญ้าฟาง เพื่อให้คุ้ยเขี่ยกินเอง เป็นวิธีที่ทำให้ไก่ได้ออกกำลัง ซึ่งจะทำให้ไก่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นการบังคับไม่ให้อ้วนจนเกินไป เพราะไก่ได้ออกกำลังอยู่เสมอ ตามปกติควรโปรยให้กินวันละ 2 หน เช้า-เย็นก็พอ มื้อเช้าควรให้ราวครึ่งหนึ่งของมื้อเย็น และอาหารหยาบที่ให้ในวันหนึ่งควรให้เท่ากับอาหารป่น การให้อาหารหยาบตามวิธีนี้ใช้กับไก่ทุกชนิด นอกจากไก่รุ่นซึ่งอาจจะเลือกใช้วิธีที่สองได้ 2. ใส่รางกลตั้งไว้ให้กินเอง วิธีนี้มีประโยชน์ที่ตัดความลำบากและลดค่าแรงงานให้น้อยลง แต่ถ้ารางไม่ดีทำให้เปลือง เนื่องจากอาหารสำหรับไก่ที่กำลังเติบโตและมีที่กว้างขวาง รางกลใส่อาหารหยาบควรตั้งไว้ในที่ร่มรื่น วิธีให้อาหารป่นแบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ 1. ใส่อาหารป่นแห้งไว้ในรางธรรมดา หรือในรางกล ให้ไก่กินอาหารเองตามชอบ วิธีนี้ใช้กันอยู่ทั่วไปเพราะสะดวกไม่ต้องเสียเวลา ไก่อยากกินเมื่อใดก็กินได้ แต่ถ้าทำรางไม่ดี ในเวลาที่ไก่จิกกินก็จะหกทิ้งหมด จึงควรทำรางให้ดี 2. ให้อาหารป่นเปียกกินในรางธรรมดา อาหารป่นเปียกไก่จะกินได้มากกว่าอาหารป่นแห้ง จึงทำให้โตเร็ว เหมาะแก่การขุนให้ไก่อ้วน เร่งให้ลูกไก่โตเร็ว เร่งให้แม่ไก่ไข่มาก ถ้าเลี้ยงไก่จำนวนน้อยควรให้อาหารโดยวิธีนี้ แต่ระวังอย่าให้อาหารบูดหรือขึ้นรา จะทำให้เกิดท้องเสียได้ วิธีให้อาหารที่ใช้กันมากที่สุด ได้แก่ วิธีให้อาหารหยาบบนหญ้าแห้ง เพื่อให้ไก่ได้คุ้ยเขี่ยหากินทุกเช้า เย็น และอาหารป่นแห้งใส่รางธรรมดาหรือรางกล ตั้งไว้ให้กินตลอดเวลา การให้กินแบบนี้ ใช้ได้ดีสำหรับไก่รุ่นทุกชนิด ตั้งแต่ลูกไก่รุ่นจนถึงไก่ที่จะทำพันธุ์ ผู้เลี้ยงไก่จำนวนมากใช้วิธีนี้ทั้งสิ้น ข้อควรจำในเรื่องอาหาร 1. จงให้อาหาร ให้ตรงกับความประสงค์ เช่น ต้องการให้ไก่ไข่ดก ก็ให้อาหารสำหรับไปทำไข่ ถ้าต้องการให้ลูกไก่เติบโต ก็ให้อาหาร สำหรับทำความเจริญเติบโต ถ้าต้องการให้ไก่อ้วน ก็ต้องให้อาหารสำหรับทำให้ไก่อ้วนเป็นต้น การให้อาหารให้ถูกจุดหรือให้ตรงกับเป้าหมายเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะผลมันจะออกมาตามความต้องการของเรา 2. อย่าเสียดายอาหาร ในการเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ยิ่งได้กินอาหารมากเท่าใดก็ยิ่งดีมากเท่านั้น เพราะอาหารที่กินเข้าไปนั้น จะมีเหลือสำหรับทำไข่หรือทำเนื้อมากตามส่วน การเลี้ยงสัตว์ จะถือเป็นการสิ้นเปลืองด้วยการกินของสัตว์นั้นจะนำมาถือเป็นหลักไม่ได้ เพราะอาหารที่มันกินเข้าไปจะช่วยสร้างร่างกายให้เติบโต ฉะนั้นจึงควรให้ไก่กินให้อิ่มอย่าให้อดๆ อยากๆ ผลที่ได้รับจะไม่คุ้มค่าที่เราลงทุนไป 3. จงประหยัดอาหาร การประหยัดอาหารนั้นไม่ได้หมายความว่า ให้ไก่กินแบบอดๆ อยากๆ กินไม่อิ่ม แต่หมายความว่าให้กินให้อิ่มอย่าให้มีเหลือทิ้ง หรือหกเรี่ยราด เพราะการที่หกเรี่ยราดนั้น เท่ากับว่าเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ แทนที่จะได้เก็บไว้กินมื้อต่อไป กลับต้องเสียไปโดยไม่ได้อะไรเลย จึงเรียกว่าไม่รู้จักประหยัด 4. จงให้กินให้อิ่มให้ทั่วถึงกัน เป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่ง ในการให้อาหารสัตว์ เพราะฉะนั้นในการให้อาหารควรมั่นเอาใจใส่ดูแล อย่างใกล้ชิด คอยดูว่าตัวใหนไม่ได้กินบ้างหรือกินไม่อิ่ม ทั้งนี้เพราะบางตัวถูกตัวอื่นรังแกจนกินไม่ได้ เนื่องจากเล็กกว่าตัวอื่นย่อมเสียเปรียบและแย่งกินไม่ทันเขา ดังนั้นควรจะสังเกตดูว่า ตัวใหนมีนิสัยไม่ดี ชอบรังแกตัวอื่นหรือมีขนาดโตกว่าตวอื่นก็ควรแยกเสีย จัดให้กินต่างหาก การคอยดูแลอยู่เสมอนั้น จะทำให้ไก่ได้กินอาหารอย่างทั่วถึง เป็นต้นว่า ตอนเย็นไก่เข้านอนแล้ว ใช้มือคลำดูที่กระเพาะ ไก่ตัวใดมีอาหารเต็มแสดงว่าไก่ตัวนั้นอิ่ม แต่ถ้ากระเพาะแห้งแสดงว่าไก่ตัวนั้นกินอาหารไม่อิ่ม 5. ให้กินอาหารตรงเวลาสม่ำเสมอ การให้อาหารสม่ำเสมอนั้น จะทำให้ไก่มีสุขภาพดีขึ้นไก่จะเจริญเติบโตเร็ว ไก่เมื่อถึงเวลากินอาหารมันจะรู้ด้วยสัญชาติญาณของมัน บางครั้งมันจะร้องเสียงดังและถี่ขึ้น ดังนั้นเราควรจะรีบให้อาหารทันที อย่าให้คลาดเวลาเป็นอันขาด 6. ควรเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด การเอาใจใส่ในการเลี้ยงไก่ มีค่าเท่ากับการให้อาหารเหมือนกัน อาหารทำให้ไก่เจริญเติบโต ร่างกายแข็งแรง ความเอาใจใส่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเอาใจใส่ดูแลให้ดี ก็จะทำให้ ไก่เจริญเติบโตเร็ว แข็งแรงปราศจากเชื้อโรคมาเบียดเบียน 7. การให้อาหารจะถือตามหลักตำราเถรตรงไม่ได้ การให้อาหารจะยึดถือ ตามทฤษฎี เป็นหลักเสมอไปไม่ได้ เพราะอาหารบางชนิด ร่างกายของสัตว์มีอยู่แล้ว ถ้าเราให้กินตามหลักวิชา จะทำให้สัตว์มีอาหารมากเกินความต้องการ เพราะฉนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลง บางสิ่งบางอย่างตามความเหมาะสม ทั้งนี้ต้องคอยสังเกตและแก้ไขอยู่เสมอ ฉะนั้นหลักทฤษฎีและการปฏิบัติ จึงไม่ตรงกันเลยทีเดียว การปฏิบัติย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสม ตำราจึงถือเป็นคู่มือที่เราจะยึดถือเป็นหลักเท่านั้น ส่วนการจะให้ผลอย่างแท้จริงและถูกต้องนั้น จะต้องอาศัยการปฏิบัติเป็นหลักสำคัญ เพราะฉะนั้นการเลี้ยงสัตว์ที่จะได้ผลดี ย่อมขึ้นกับการปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทฤษฏีเป็นแนวทางเท่านั้น อาหารดังกล่าวจัดเป็นพวกๆดังนี้ 1. น้ำ เป็นอาหารจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต น้ำช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในการดูดซึม เป็นตัวนำอาหารไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย และช่วยในการรักษาระดับความร้อนในร่างกาย แม้แต่การผลิตไข่น้ำก็ช่วย เพราะไข่ไก่มีน้ำอยู่ประมาณ 85 % ในไข่แดงมีน้ำประมาณ 49 % จึงเห็นได้ว่าน้ำจะขาดเสียไม่ได้สำหรับสิ่งมีชีวิต 2. แร่ธาตุ ในร่างกายประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ เป็นต้นว่า แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียมคลอไรด์ แมงกานิส ไอโอดีน แมกนีเซียม สังกะสี โบรอน ทองแดง และเหล็ก แต่มีธาตุสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ - แคลเซียม เป็นส่วนประกอบสำหรับเสริมสร้างกระดูก สร้างไข่ ถ้าไก่ขาดแร่ชนิดนี้มักจะเป็นโรคกระดูกอ่อน ไข่เปลือกอ่อน อ่อนแอไม่สมบูรณ์ แร่ชนิดนี้ได้มาจากเปลือกหอย หินปูน ควรมีเปลือกหอยทิ้งเอาไว้ให้ไก่จิกกินหรือจะเพิ่มในสูตรอาหารก็ได้ - ฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ธาตุนี้ทำงานร่วมกับธาตุหินปูนและเปลือกหอย ควรให้มีในอาหารไก่สัก 1 % - เกลือ ควรใส่ในถาดอาหารไก่สัก 1 % 3. โปรตีน ได้จากปลาป่น เนื้อป่น กากถั่ว กากมะพร้าว ในผักต่างๆ ใบกระถิน เม็ดทานตะวัน หางนมผง อาหารโปรตีนทำให้ร่างกายเจริญเติบโต แข็งแรง สร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ควรมีโปรตีน 15 % ในสูตรอาหาร 4. คาร์โบไฮเดรท เป็นอาหารที่สร้างพลังงาน และความร้อน ทำให้ไก่อ้วน มีมากในอาหารจำพวกรำ ปลายข้าว ข้าวโพด 5. ไขมัน ทำให้เกิดพลังงานและความร้อน มีในเมล็ดพืชต่างๆ และน้ำมันจากพืชและสัตว์ 6. ไวตามิน เป็นอาหารจำพวกสร้างความเจริญเติบโต แข็งแรง ในอาหารไก่ควรมีไวตามินจำพวก เอ.ดี. มากเป็นพิเศษ มากกว่าไวตามินชนิดอื่นๆ - ไวตามินเอ มีอยู่ในพืชและหญ้าสด น้ำมันตับปลา ใบกระถิน ข้าวโพดสีเหลือง ช่วยในการผลิตไข่ สร้างความต้านทานเชื้อโรค ในจำนวนไก่ 100 ตัว ต้องการไวตามินประจำวันจากข้าวโพดสีเหลือง 12.7 กิโลกรัม หรือจากผักสดประมาณ 1 กิโลกรัม - ไวตามินดี ไวตามินชนิดนี้ได้รับจากแสงแดดโดยตรง ไก่ต้องการไวตามินดี เพื่อช่วยในการย่อยแคลเซียม และฟอสฟอรัสในอาหาร ถ้าขาดไวตามินดีเปลือกไข่จะบอบบางและไข่หลายใบจะฟักไม่เป็นตัว - ไวตามินจี หรือ โรโบฟลาวิน ได้จากตับ นมผง หางนมผง ไบอัลฟัลฟ่าป่า ใบกระถิน ปลาป่น เศษเนื้อ และเมล็ดพืชบางจำพวก ช่วยในการฟักไข่ ถ้าไก่ขาดไวตามินชนิดนี้ จะฟักไม่ได้ผล วิธีให้อาหาร การให้อาหารไก่มีหลายวิธีด้วยกัน ให้เลือกเอาตามความเหมาะสม ภาชนะที่ใส่อาหารไก่ ควรทำเป็นรางยาวให้ไก่กินได้ทั้งสองข้าง มีที่ป้องกันไม่ให้ไก่เข้าไปคุ้ยเขี่ยได้ การให้อาหารไก่ให้ 2 เวลา คือ เช้าและเย็น หรือจะให้มากกว่านี้ก็ได้เพราะไก่ชอบกินจุกจิก วิธีให้อาหาร 1. อาหารหยาบล้วนๆ คือให้ข้าวเปลือก ข้าวโพดบดหยาบอย่างเดียว 2. อาหารป่น+อาหารหยาบ ให้ข้าวเปลือก ข้าวโพดบดหยาบตอนเช้าและเย็น และมีอาหารป่นตลอดวัน อาหารป่นคืออาหารชนิดผสมเข้าด้วยกัน 3. อาหารป่นล้วนๆ ให้กินแบบอาหารป่นแห้ง หรือ ป่นเปียก คลุกน้ำหรืออาหารเหลวๆ ที่มีคุณค่าทางอาหาร การเลี้ยงลูกไก่ 1. เครื่องกก คือเครื่องทำให้เกิดความร้อนเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ลูกไก่เหมือนกกด้วยแม่ เครื่องกกนี้จะใช้ไฟหรือใช้ตะเกียกก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม ความร้อนที่ลูกไก่ต้องการ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 4 อาทิตย์ ระหว่าง 90-95 องศาฟาเรนไฮท์ และค่อยๆลดลงอาทิตย์ละ 4 องศา จนถึง 80-85 องศาฟาเรนไฮท์ ถ้าอากาสหนาวควรจะกกต่อไปสัก 1-2 อาทิตย์ 2. อาหาร เมื่อไก่แรกเกิดไม่ควรจะให้อาหารทันที เพราะมันมีอาหารสำรองอยู่แล้ว สัก 2-3 วันจึงค่อยให้อาหารละเอียด ใส่ภาชนะตั้งให้กินตลอดเวลา แต่ให้ครั้งละน้อยๆให้บ่อยๆ ถ้าให้มากลูกไก่จะกินมากจนเกินน้ำย่อยทำงาน จะเป็นอันตรายแก่ลูกไก่ได้ 3. น้ำสะอาด ตั้งให้กิน การเลี้ยงลูกไก่ทั่วๆไป การเลี้ยงดูอาทิตย์แรก 1. เมื่อลูกไก่ขนแห้ง เอาออกจากเครื่องกกหรือแม่ไก่ ตั้งน้ำและกวาด ทรายให้กิน วันรุ่งขึ้นตั้งอาหารให้กิน 2. ใช้นมสดผสมให้กินครึ่งต่อครึ่ง ถ้ามีนมสด 3. ทำรางอาหารยาวรางละประมาณ 1 ฟุต วางไว้ห่างๆ เพื่อให้ลูกไก่กระจายกิน ไม่ต้องแย่งกัน 4. ควรจัดที่ลูกไก่ให้เพียงพอ อย่าให้คับแคบจนเกินไป 5. ทำการฉีดวัคซีนป้องกัน โรคนิวคลาสเซิล และตรวจโรคอุจจาระขาว โดยการทำของสัตวแพทย์ การเลี้ยงดูอาทิตย์ที่ 2 การเลี้ยงดูในระยะนี้ ก็ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษเช่นเดียวกัน เพราะไก่ยังไม่แข็งแรง มันจะตายในระยะนี้เสมอ การเลี้ยงดูก็ให้อาหารที่จะสร้างกำลังให้แก่ลูกไก่ คือ 1. การให้กินอาหารป่นตลอดเวลา ให้กินผักสดวันละ 1-2 ครั้ง 2. ตอนเย็นควรให้อาหารหยาบบ้าง 3. เครื่องกกควรลดความอุ่นลง ในระยะนี้ควรจะแยกลูกไก่ เพื่อไม่ให้แออัดจนเกินไป 4. หมั่นทำความสะอาดพื้นกรงขัง ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อฉีดหรือพ่น และเปลี่ยนที่รองพื้นบ่อยๆ พื้นสกปรกจะทำให้เกิดเชื้อโรคได้ 5. ให้ลูกไก่ได้รับแสงแดดเช้าๆอยู่เสมอ การได้รับแสงแดดอ่อนๆจะทำให้ลูกไก่กระปรี้กระเปร่าขึ้น การเลี้ยงดูอาทิตย์ที่ 3-6 ระยะนี้ลูกไก่จะแข็งแรงขึ้น พอจะดูได้ว่าตัวไหนแข็งแรงและไม่แข็งแรง ตัวที่ไม่แข็งแรงควรแยกออกหรือทำลายเสีย การเลี้ยงดูคือ 1. อาทิตย์ที่ 3 ลดความอุ่นลง พออาทิตย์ที่ 5 ไม่ต้องให้เลย 2. ให้กินอาหารป่นอยู่ตลอดเวลา 3. ให้กินเปลือกหอย โดยจัดไว้ต่างหาก 4. จะเพิ่มอาหารหยาบขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เพราะลูกไก่แข็งแรงพอแล้ว 5. ควรขลิบจงอยปากออกเล็กน้อย กันจิกกันเอง จะทำให้เกิดบาดแผลรักษาหายยาก 6. เมื่อเห็นว่าตัวไหนถูกจิกควรแยกออก เพราะมันจะถูกจิกซ้ำ กลายเป็นแผลรักษายาก การเลี้ยงดูอาทิตย์ที่ 7-16 ในระยะนี้เป็นระยะไก่รุ่น ไก่แข็งแรงดีแล้ว การเลี้ยงดู 1. แยกลูกไก่ตัวผู้และตัวเมียออกจากกัน 2. ให้น้ำและอาหารกินพอเพียง 3. มีที่บังแดดและลม เพราะไก่ถูกลมโกรกจะเป็นหวัดได้ง่าย 4. รักษาโรงเรือนให้สะอาดอยู่เสมอ การเลี้ยงไก่รุ่น 1. ลักษณะที่ควรคัดออก - ขนดกยุ่งและด้าน ขนงอกช้า โตช้า - หน้าซีด ขาวเผือด อมโรค ตาขุ่นและลึก - หงอนและเหนียงเล็ก หด สีแดงช้ำๆเป็นขุย - อ่อนแอโตช้า - รูปร่างไม่ได้ส่วน ลำตัวโพลก - หน้าแข้งและปากสีขาวซีด - อ่อนแอ หัวยาวแหลมคล้ายหัวงู หรือหัวกา กระดูกหน้าอกคด 2. ลักษณะที่ควรเก็บไว้ - ขนดกลื่นเป็นมัน ขนงอกเร็วและโตเร็ว - หน้าตาสดใส ตาโต ตาไม่เด่นนูน ไม่จมลึก - หงอนและเหนียงโตงามสีแดงสดเงาเป็นมัน - แข็งแรง ว่องไว สมบูรณ์ เคลื่อนไหวเป็นปกติ - ลำตัวลึกและตัน รูปร่างสมส่วนใหญ่เนื้อหนังดี - หนังแข็ง ปากสีเหลืองเข้ม - แข็งแรง ลักษณะตรงตามพันธุ์ หัวสวยสง่า - กระดูกหน้าอกตรง การเลี้ยงไก่รุ่น ไม่ควรจะให้อยู่แออัด นอกจากเป็นการเสียสุขภาพแล้ว ยังแย่งอาหารกันกินด้วย เนื้อที่สำหรับไก่รุ่นไม่ควรเกิน 5 ตัว ต่อ 1 ตารางเมตร เมื่อจะนำไก่ขึ้นขังกรง ควรจะถ่ายพยาธิเสียก่อน การไม่มีพยาธิในตัวของมัน จะทำให้เจริญเติบโตเร็วและไข่ดก อาหาร ควรเป็นอาหารที่มีส่วนสัดครบถ้วน ให้ผักสดกินตลอดเวลา ให้อาหารโปรตีน ไขมัน และวิตามินอย่างครบถ้วน
ไก่เขียวเลาหางขาว เพศผู้ขนพื้นตัวสีดำ และขนปีกหางสีดำ หางกะลวยคู่สีขาว ส่วนคู่อื่นๆ มีสีขาวปลายดำ สร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลังสีเขียวเลา คือ ขนสร้อยท่อนล่างสีขาว องปลายสีเขียว ส่วนปาก แข้ง เล็บ สีขาวอมเหลืองหรือขาวงาช้าง มี 3 สายพันธุ์ คือ 1.เขียวเลา ใหญ่พระเจ้า 5 พระองค์ 2.เขียวเลาเล็กหางขาว 3.เขียวเลาดอกหางขาว ไก่ลายหางขาว เพศผู้ขนพื้นตัวลาย ขนปีก ขนหางพัดลาย หางกะลวยคู่กลางสีขาวปลอด คู่อื่นๆ สีขาวปลายลาย ส่วนปาก แข้ง เล็บ เป็นสีขาว อมเหลือง ไก่ขาวหรือไก่ชี ชีเพศผู้ขนพื้นตัวสีขาว ขนสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลัง เป็นระย้าสีขาวรับกันกับปาก แข้ง เล็บ และมีเดือย สีขาวอมเหลือง หางดัด กางกะลวยเป็นสีขาว ส่วนลักษณะเพศเมียเหมือนเพศผู้ ไก่ขาวแบ่งตามเฉดสีได้ 4 ชนิด คือ ไก่ชีขาว แพรขาว ขาวกระดำ และขาวกระแดง
ไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้านกับไก่ชน ข้อมูลจากตำราทั้งเก่าและใหม่ รวมกับข้อมูลที่ได้จากการซักถามพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่และคนที่ชอบเลี้ยงไก่ชน ทำให้เราสรุปได้ว่า ”ไก่ชนกับไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้านก็คือไก่ประเภทเดียวกัน” จนอาจพูดเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า ”ไก่ชนก็คือไก่บ้านดีๆ นี่เอง หรือไก่ชนกับไก่บ้านก็คือไก่อันเดียวกันนั่นแล” เพียงแต่ว่าไก่ที่จะนำไปชนกันนั้นเป็นไก่ที่เก่ง ผ่านการคัดเลือก ผ่านการฝึกฝนหรือเก็บเนื้อเก็บตัวมาแล้ว ไก่ที่นำไปชนจึงเก่งผิดจากไก่บ้านตัวอื่นๆ และจากไก่ตัวเมียตัวผู้ที่เก่งๆ นี่เองชาวบ้านมักจะเลี้ยงไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ลูกหลานไก่ที่เกิดมาก็มักจะเก่งเหมือนพ่อแม่ไก่ ชาวบ้านก็เลยเรียกไก่พื้นบ้านเหล่านี้ว่า ”พันธุ์ไก่ชน” ด้วยเหตุนี้แหละจึงทำให้พวกเราซึ่งเกิดทีหลังรู้สึกสับสนระหว่างคำว่า ”ไก่พื้นบ้านกับไก่ชน” ไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้านมาจากไหน จากการค้นคว้าพบว่า ไก่พื้นบ้านหรือไก่ชนพัฒนาสายพันธุ์มาจากไก่ป่า(ไก่ป่าทั่วไป, ไก่ป่าตุ้มหูขาว, ไก่ป่าตุ้มหูแดง, ไก่ป่าตุ้มหูเหลือง และอาจจะมีอีกหลายชนิด) โดยธรรมชาติแล้วไก่ป่าจะมีนิสัยหวงถิ่นหรือพื้นที่อันเป็นเขตแดนของตน โดยเฉพาะไก่ป่าตุ้มหูแดงนั้นหลายตำราบอกว่าจะหวงถิ่นมากเป็นพิเศษ มักจะขับไล่ไก่ตัวอื่นที่ลุกล้ำอาณาเขตเสมอ ต่อมาเมื่อคนยุคโบราณเห็นถึงข้อดีความเก่งความเป็นนักต่อสู้ เลยจับไก่ป่ามาเลี้ยงและในยามว่างงานก็นำไก่มาตีกัน(ซึ่งต่อมาเรียกว่า ”การชนไก่”) ไก่ตัวไหนดีตัวไหนเก่งชาวบ้านก็เก็บไว้ทำพ่อแม่พันธุ์และพัฒนาสายพันธุ์มาเรื่อยๆ จนลูกหลานไก่ป่าคุ้นเคยกับผู้คน จากไก่ป่ากลายเป็นไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้าน เหล่ากอหรือเผ่าพันธุ์ไหนเก่งก็เรียกว่า ”พันธุ์ไก่ชน” การชนไก่ถือว่าเป็นการละเล่นขณะพักผ่อนยามว่างงาน เป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่งของบรรพบุรุษสืบมาจนถึงทุกวันนี้
ไก่เหลืองหางขาว มีถิ่นกำหนดเดิมอยู่ที่บ้านหัวเท ตำบลบ้านกร่าง จังหวัดพิษณุโลก ไก่เหลืองหางขาวเป็นไก่ที่ฉลาดปราดเปรียว อดทน ลักษณะเด่นคือ ตัวผู้จะมีสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลัง ขนปิดหูเหมือนกันตลอด มีจุดขาว 5 แห่ง คือ ที่ท้ายทอย หัวปีกทั้งสองข้าง ที่ข้อขาทั้งสองข้าง บางตำราเรียกว่า ”พระเจ้า 5 พระองค์” เพศผู้มีสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลัง เป็นสีเหลืองเหมือนกันตลอด ขนสีตัวเป็นสีดำ ส่วนปาก แข้ง เล็บ เดือย มีสีขาวอมเหลืองคล้ายสีงาช้าง ลูกตาสีเหลืองอ่อน ”เรียกว่าตาปลาหมอตาย” ส่วนเพศเมียมีขนพื้นตัวเป็นสีดำตลอดมีกระขาว 2 หย่อมเหมือนกัน
ไก่ประดู่แสมดำ มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบพื้นที่ภาคกลางเป็นหลัก อาจมีพบในภูมิภาคอื่นบ้างปะปราย ซึ่งในปัจจุบันพบเห็นได้น้อยมาก ลักษณะ เพศผู้จะมีสีสร้อยคอ สนับปีก สร้อยหลังรวมถึงขนปิดหู เป็นสีประดู่ ซึ่งมีทั้งสีประดู่แดงและประดู่เม็ดมะขาม ขนพื้น ตัวเป็นสีดำ ปีกและหางพัดรวมถึงหางกะลวยเป็นสีดำปราศจากสีขาวแซม ปาก และสีตาดำสนิท แข้ง เล็บ เดือย เป็น สีดำ ใบ หน้าจะมีสีแดงคล้ำ(แดงอมดำ) ขอบตาดำ ผิวหนังบริเวณลำตัวจะเป็นสีคล้ำ(แดงอมดำ) ในช่วงที่ยังเล็กอยู่มักจะมีสีผิวดำ ทั้งใบหน้า และบริเวณลำตัวไก่ประดู่แสมดำเพศเมียจะมีขนพื้นตัวเป็นสีดำตลอดตัว ใบหน้าจะมีสีดำชัดเจนมากกว่าตัวผู้มาก ปาก แข้ง เล็บ มีสีดำสนิท
ยาถ่ายไก่ ยาถ่ายโบราณคนนิยมใช้กันมากมีส่วนผสมดังนี้ 1. เกลือประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ 2. มะขามเปียก 1 หยิบมือ 3. ไพลประมาณ 5 แว่น 4. บอระเพ็ดยาวประมาณ 2 นิ้ว หั่นเป็นแว่นบาง ๆ 5. น้ำตาลปีบประมาณ 1 ช้อนคาว 6. ใบจากเผาไฟเอาถ่าน (ใช้ใบจากประมาณ 1 กำวงแหวน) ใช้ครกตำให้ละเอียดเข้า ด้วยกัน เวลาใช้ยาควรให้ไก่กินเวลาเช้าท้องว่าง ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดหัวแม่มือ 2 เม็ด ให้น้ำกินมาก ๆ หน่อย แล้วครอบผึ่งแดดไว้รอจนกว่ายาจะออกฤทธิ์ ถ่ายเป็นน้ำ 3 ครั้ง ก็พอแล้วเอาข้าวให้กินเพื่อให้ยาหยุดเดิน น้ำสำหรับอาบไก่ ปกติไก่เลี้ยงจะต้องอาบน้ำยาจนกว่าไก่จะชน เครื่องยาที่ใส่น้ำต้มมีดังนี้ 1. ไพลประมาณ 5 แว่น 2. ใบส้มป่อยประมาณ 1 กำมือ 3. ใบตะไคร้ ต้นตะไคร้ 3 ต้น 4. ใบมะกรูด 5 ใบ 5. ใบมะนาว 5 ใบ เอา 5 อย่างมารวมกันใส่หม้อต้มให้เดือดแล้วทิ้งไว้ให้อุ่น พออุ่น ๆ แล้วค่อยอาบน้ำไก่ แล้ว นำไปผึ่งแดดให้ขนแห้ง สมุนไพรเกี่ยวกับโรคผิวหนัง บาดแผล เห็บหมัด ไรไก่ สมุนไพรเดี่ยว 1. รากหนอนตายอยาก แผลติดเชื้อ มีหนอง มีหนอน ตำให้แหลก พอก หรือคั้นน้ำ ทาแผล 2. ตะเคียน ต้มเคี่ยวใช้ทาแผล หรือตำให้แหลกแช่น้ำ ใช้แช่เท้าเปื่อย 3. ประดู่ ต้มเคี่ยวใช้ทาแผล 4. หนามคนทา ใช้ฝนทาแผล หนอง 5. ลูกหนามแท่ง ต้มใช้น้ำชะล้างแผล หรือชำระล้าง 6. ลูกมะคำดีควาย ต้ม ใช้น้ำชำระล้าง 7. กำมะถันแดง โรยบนเตาไฟใช้รมบาดแผล 8. หนามกำจาย ฝนทาแผล ติดเชื้อ 9. เปลือกสีเสียด ต้มเคี่ยว ใช้ล้างแผล แช่เท้าเปื่อย 10. ว่านมหากาฬ ตำพอกแผล 11. ฟ้าทะลายโจร ต้มเคี่ยวใช้ชะล้าง 12. ยาฉุน แช่น้ำ ไล่เห็บ เหา หมัด ไรไก่ 13. แมงลักคา ขยี้สดๆวางไว้ในเล้าไก่ไล่ไรไก่ น้ำยาอาบไก่ชน รักษาผิว และทำให้ไก่แข็งแรง 1. ไม้กระดูกไก่ทั้ง 2 2. เปลือกสมอทะเล 3. ยอดส้มป่อย 4. ขมิ้น 5. ใบหนาด ต้มรวมทั้งหมดเอาน้ำใช้อาบ ยาประคบไก่รักษาอาการฟกช้ำ และบาดแผล 1. ไพล 2. ขมิ้น ( ขมิ้นอ้อย หรือขมิ้นก็ได้ ) ตำใช้ประคบ พืชสมุนไพรป้องกันหวัดไก่ภูมิปัญญาไทยแท้แต่โบราณ จาก สถานะการณ์ ไข้หว้กนกที่ผ่านมา ในขณะที่ฟาร์มไก่เป็นโรค ระบาดตายหมดเล้า แต่เรากลับพบว่า "ฟาร์มไพบูลย์" ตั้งอยู่เลขที่ 23 หมู่ 3 ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีไก่ไข่ที่เลี้ยงไว้ประมาณ 20,000 ตัว ในพื้นที่ 5 ไร่ กลับไม่ เป็นอะไรเลย ยังมีอาการปกติดีทุกอย่างไพบูลย์ รักษาพงษ์พานิชย์ อายุ 55 ปีเจ้าของฟาร์มไก่ไข่ เล่าว่า เขามีเทคนิคในการเลี้ยงไก่ ที่ไม่เหมือนกับฟาร์มอื่นๆ กล่าวคือเขาได้ใช้สมุนไพรไทย เข้ามาช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับไก่ไข่ภายในเล้า โดยเคล็ดลับ ในการเลี้ยง และดูแลรักษาไก่ ให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคระบาด โดยเฉพาะโรคไข้หวัด และโรคอหิวาต์นั้น ใช้ ฟ้าทะลายโจรผง และบอระเพ็ดผสมให้ไก่กิน ซึ่งฟ้าทะลายโจรนี้ใช้ได้ทั้งก้าน และใบนำมาบดผสมเข้ากับบอระเพ็ด อัตราส่วนโดยประมาณ ฟ้าทะลายโจร 1 ตัน ผสมบอระเพ็ด 2 กิโลกรัม แล้วนำสมุนไพรที่ว่านี้ผสมลงในอาหารอีกครั้ง อัตราส่วนสมุนไพร 15 กิโลกรัมต่ออาหารไก่ 1,000 กิโลกรัม คลุกเคล้าผสมให้เข้ากัน ก่อนนำเอาไปให้ไก่กินทุกวันฟ้าทะลายโจรจะช่วยในเรื่องของการป้องกันในเรื่องของหวัดไก่และคุมเรื่องโรคอหิวาต์ หรือโรคท้องร่วงที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงหน้าหนาว เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับไก่ ทำให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรงไม่เป็นโรคหรือติดโรค ง่ายเวลาที่มีการระบาด เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมานาน และค่อนข้างใช้ได้ผล ซึ่งนอกจากสมุนไพรแล้ว เรื่องของ "น้ำ" ก็สำคัญ เพราะเชื้อมักมากับน้ำ ฉะนั้นการใช้น้ำคลองหรือน้ำบาดาลให้ไก่กิน ควรใส่ยาฆ่าเชื้อพวกคลอรีนหรือเพนนิซิลลินเสียก่อนอีกวิธีที่ใช้กันมานาน ก็คือ การใช้ตะไคร้ วิธีการก็คือนำตะไคร้ทั้งกอมาต้มให้ไก่กินแทนน้ำ (การต้มน้ำก็เป็นการฆ่าเชื้อโรคได้ทางหนึ่ง) ส่วนไอน้ำตะไคร้ที่ต้มก็ให้ใช้วิธีต่อท่อพ่นเข้าไปในเล้าไก่ แต่ทั้งนี้ต้องทำความสะอาดเล้าไก่ให้ดีเสียก่อน เชื่อว่าเป็นการไล่หวัดไก่ได้ วิธีการนี้เคยใช้เมื่อครั้งเกิดโรคระบาดไก่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม แม้เกษตรกรบางรายอาจจะมองว่าเป็นการไปเพิ่มต้นทุน แต่ถ้าสามารถป้องกันโรค และไม่เกิดความเสียหายจากโรคระบาดที่เกิดขึ้นก็ถือว่าคุ้มที่จะลงทุน ตามสำนวนไทยที่ว่า ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน แนะใช้ "สมุนไพร" แทนยาปฏิชีวนะ เสริมสร้างสุขภาพ ป้องกันโรคระบาดในไก่ วิจัยพบสมุนไพรหลายชนิด เช่น ฟ้าทลายโจร ขมิ้นชัน พริก ฝรั่ง มีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันโรคติดต่อในไก่ สามารถใช้ทดแทนยาปฏิชีวนะที่กำลังเป็นปัญหาในการส่งออกได้ สกว. หนุนวิจัยเชิงลึก ทั้งสร้างมาตรฐานการใช้สมุนไพร การผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ รวมถึงวิธีการปลูก ที่นอกจากจะช่วยรักษาตลาดส่งออกไก่เนื้อ มูลค่าสี่หมื่นล้านบาทต่อปี และเปิดตลาดอาหารสุขภาพแล้ว ยังเป็นทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรไทยที่จะหันมายึดอาชีพปลูกสมุนไพรอีกด้วย หนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ก็คือ "โรคระบาด" เพราะทุกครั้งที่มีโรคระบาดเกิดขึ้นจะสร้างความสูญเสียกับผู้เลี้ยงเป็นอย่างมาก และเป็นการยากที่จะป้องกันไม่ให้โรคลุกลามไปยังไก่ที่เหลือในเล้าและฟาร์มใกล้เคียง ดังที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่หลายจังหวัดในขณะนี้ สาเหตุสำคัญของการระบาดก็คือ สภาพของการเลี้ยงไก่จำนวนมากในพื้นที่น้อย ๆ ซึ่งนอกจากสร้างความเครียดให้กับไก่แล้ว ยังทำให้ไก่กินอาหารน้อยลงและมีภูมิต้านทานโรคลดต่ำลง จนเป็นเหตุให้เกิดโรคระบาดได้ง่าย ซึ่งแนวทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพไก่ก็คือ การใช้ยาหรือสารปฏิชีวนะผสมในน้ำหรืออาหารที่ไก่กิน เพื่อช่วยลดความเครียดและกินอาหารได้มากขึ้น ซึ่งทำให้ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น น.สพ.ยุคล ลิ้มแหลมทอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวในการประชุมวิชาการ "สมุนไพรไทย : โอกาสและทางเลือกใหม่ ของอุตสาหกรรมผลิตสัตว์ ครั้งที่ 2 " ว่าขณะนี้นโยบายของกระทรวงเกษตรฯ คือ การสร้างความปลอดภัยด้านอาหารเพื่อผู้บริโภคในประเทศและการส่งออก แต่ปัจจุบันยังมีการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหาร เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของไก่อยู่ค่อนข้างมาก แต่ขณะเดียวกันมีการศึกษาวิจัยในด้านการใช้สมุนไพรอย่างจริงจังในหลายหน่วยงาน ซึ่งหากพบว่าสามารถใช้ทดแทนได้จริง ทางกระทรวงโดยกรมปศุสัตว์ก็พร้อมให้การสนับสนุน "สมุนไพรเป็นทางเลือกใหม่ในอุตสาหกรรมผลิตสัตว์ ในการแก้ปัญหาการตกค้างของสารต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้มีงานวิจัยอยู่มากพอสมควร และเราได้กำหนดมาตรการการเลี้ยงสัตว์ในบ้านเราให้ยาปฏิชีวนะน้อยที่สุด หากใช้ ต้องใช้เพื่อการรักษาเท่านั้น และหากจะใช้ต้องมีระยะหยดยาด้วย ซึ่งทำให้สมุนไพรอาจเป็นคำตอบของเรื่องนี้ก็ได้ และหากมีงานวิจัยที่ยืนยันได้ว่าใช้สมุนไพรแทนได้จริงทั้งเรื่องประสิทธิภาพและความคุ้มค่า เราก็พร้อมสนับสนุน เพราะจะมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะตลาดสินค้าอินทรีย์ที่ยุโรป ซึ่งเขาต้องการสินค้าพวกนี้ โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคา รศ.ดร.จันทร์จรัส เรี่ยวเดชะ ผู้อำนวยการฝ่ายเกษตร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สกว. กล่าวเสริมว่า การใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ไม่ได้รับการยอมรับจากตลาดต่างประเทศ เนื่องจากเกรงผลตกค้างที่อาจทำให้เกิดการดื้อยาในผู้บริโภค โดยหลังปี 2006 สหภาพยุโรปจะห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งการเจริญเติบโตในสัตว์ทุกชนิด รวมถึงไก่เนื้อส่งออกของไทย ที่ขณะนี้ส่งออกเป็นอันดับ 4 ของโลก มีมูลค่าส่งออกทั่วโลกกว่าสี่หมื่นล้านบาทในปี 2546 ภาคอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ของไทยจึงต้องเตรียมความพร้อมและปรับตัวเพื่อรับมาตรการดังกล่าว เพราะมาตรฐานด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคทุกประเทศจะมีแนวโน้มไปในทางเดียวกัน "ปัญหาคือ มีรายงานในยุโรปพบว่า สัตว์ที่ได้รับสารปฏิชีวนะในระดับต่ำ ๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายเกิดการดื้อยาปฏิชีวนะนั้น เพราะฉะนั้นการบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีการใช้สารเหล่านี้เข้าไปเป็นประจำ ก็อาจมีผลให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะในมนุษย์ได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้หลายประเทศในตะวันตกนำมาตรการต่าง ๆ มาใช้เป็นกลยุทธ์ป้องกัน เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับสารเหล่านี้ และหนึ่งในนั้นคือ มาตรการห้ามนำเข้าไก่ที่มีการเลี้ยงโดยเติมสารปฏิชีวนะ" ในเรื่องดังกล่าว ภาคอุตสาหกรรมส่งออกไก่เนื้อของไทย ทั้งในรูปไข่ไก่แช่แข็งและแปรรูป ก็มิได้นิ่งนอนใจ หลายบริษัทเริ่มหันมาศึกษาหาแนวทางในการลดละเลิกการใช้สารปฏิชีวนะเหล่านี้ ซึ่งหนึ่งในคำตอบนี้คือ "สมุนไพร" รศ.ดร. จันทร์จรัส กล่าวว่า งานวิจัยภายใต้ชุดโครงการ "การใช้สมุนไพรในการผลิตสัตว์" โดยการสนับสนุนของ สกว. ที่ผ่านมา ได้พบสมุนไพรหลายตัว เช่น ฟ้าทลายโจร ขมิ้นชัน พริก ใบหรือผลฝรั่งอ่อน มีคุณสมบัติช่วยให้ไก่ที่เลี้ยงไว้มีอัตราการรอด และการเจริญเติบโตไม่แพ้การเลี้ยงโดยเติมสารปฏิชีวนะ ซึ่งสิ่งที่ สกว. กำลังทำอยู่ในปัจจุบันคือ การพยายามหาตัวเลข หรือค่าบางตัวที่จะบอกได้อย่างชัดเจนว่า สมุนไพรมีผลดีต่อสัตว์จริง ในเชิงวิชาการนำปัญหาจากภาคอุตสาหกรรมมาแปลงเป็นโจทย์วิจัย เพื่อให้นักวิจัยสาขาต่าง ๆ ได้ช่วยกันศึกษาและสรุปผล ให้คำตอบที่ถูกต้องแก่ผู้เลี้ยงสัตว์ ศ.ดร. นันทวัน บุณยะประภัคร จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้ประสานงานโครงการชุดนี้ กล่าวว่า จากผลการวิจัยที่ผ่านมา แม้จะพบว่า มีพืชหลายชนิดมีศักยภาพในการนำมาใช้เป็นสารเติมในอาหารสัตว์ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะ หากยังอยู่ในระดับการศึกษาเพื่อดูผลจากการนำไปใช้ แต่สิ่งที่จะดำเนินการต่อในช่วง 2 ปี ข้างหน้านี้ คือการวิจัยเพื่อสร้างระบบในการนำสมุนไพรเหล่านี้มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม "ขณะนี้ งานวิจัยถึงผลของการใช้พืชเหล่านี้กับกระบวนการออกฤทธิ์ในสัตว์ เช่น ลดความเครียด หรือช่วยในการย่อย ได้ผลในเบื้องต้นแล้วพบว่า การใช้ฟ้าทลายโจร และขมิ้นชัน มีผลในทางบวกต่อไก่อย่างเห็นได้ชัด ส่วนการวิจัยในพืชชนิดอื่น เช่น พริก ใบฝรั่ง กระเทียม ก็ยังพบว่ามีผลต่ออัตราการโตและอัตราการรอดของสัตว์เหล่านี้ และนอกจากงานวิจัยทั้งสองส่วนนี้แล้ว เรายังได้สนับสนุนให้นักเภสัชศาสตร์ทำการวิจัยเพื่อหาวิธีการนำสมุนไพรเหล่านี้ มาทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ง่ายต่อการผสมในอาหาร ที่เก็บได้นาน ทนต่อความชื้น และคงตัวต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งงานนี้จะดำเนินไปพร้อมกับการนำผลิตภัณฑ์ที่ได้ไปทดสอบใช้กับการเลี้ยงไก่เนื้อและหมู เพื่อหาส่วนผสมที่เหมาะสมที่สุด คุ้มค่าที่สุด ซึ่งคาดว่าภายในปีหน้า จะมีผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรสำหรับการเลี้ยงไก่และสุกรออกมาทดลองตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งล่าสุด มีภาคเอกชนแสดงความสนใจจะเข้าร่วมทุนวิจัยและพัฒนาแล้ว นอกเหนือจากการวิจัยถึงผลการใช้ต่อสัตว์ หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้ว ศ.ดร.นันทวัน กล่าวว่า งานวิจัยอีกส่วนหนึ่งกำลังดำเนินการภายใต้ชุดโครงการวิจัยนี้คือ การวิจัยเพื่อหารูปแบบการปลูกพืชสมุนไพรที่เหมาะสมทั้งระดับเกษตรและระดับอุตสาหกรรมไทย เพราะหากขาดส่วนนี้ไป แม้สมุนไพรชนิดนั้นจะดีอย่างไร หากเราปลูกขึ้นมาไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ซึ่งงานวิจัยส่วนนั้นนอกจากช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตสัตว์แล้ว ยังอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการประกอบอาชีพของเกษตรกรไทยยุคหน้าได้อีกด้วย ท่ามกลางปัญหาโรคระบาดไก่ที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน นอกเหนือจากการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว การป้องกันในระยะยาวด้วยการประยุกต์ภูมิปัญญาไทย และภูมิความรู้ด้านสมุนไพร มาใช้ทดแทนสารที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อาจกลายเป็นทางเลือกหรือคำตอบใหม่ของการดูแลสุขภาพไก่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ายิ่งขึ้น ในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคที่เกี่ยวกับไก่รุนแรงและสร้างความเสียหายให้กับกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ เป็นอันมาก เกษตรกรบางรายสงสัยว่า ทำวัคซีนแล้วแต่ไก่ก็ยังตายหมดทั้งฟาร์ม ซึ่งกระแสข่าวที่ผ่านมาทำให้คนไทยกลัวที่จะรับประทานไก่ เพราะกลัวโรคระบาดนั้นจะติดต่อมาสู่คน ส่วนใหญ่การรักษาโรคไก่มักจะใช้กลุ่มยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะกลุ่มของไก่พื้นเมือง ซึ่งอาจมีผลให้เกิดสารตกค้างถึงมนุษย์ และการรักษาดังกล่าวก็อาจทำให้ไก่ที่เหลืออยู่เป็นพาหะของโรคต่อไปหรือส่งผลให้เชื้อโรคที่ยังอยู่มีพัฒนาการต่อก็ได้ ซึ่งล้วนเป็นปัญหาหรือก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อไป การแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยพืชสมุนไพรเป็นอีกลู่ทางหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจและมีการสนับสนุน เช่น การใช้สมุนไพรฟ้าทลายโจร (Andrographis paniculata Wall. Ex Nees) เป็นพืชสมุนไพรทางการแพทย์ มีส่วนประกอบทางเคมีเป็นสารพวก diterpene lactones ออกฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น Esherichia coli และ Salmonella typhi ยับยั้งเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจ เช่น Staphylococcus aureus และมีสรรพคุณแก้ไข้ แก้หวัด แก้โรคบิด โรคท้องร่วง และแก้แผลบวมอักเสบ ซึ่งสรรพคุณที่ดีเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นในด้านการป้องกันรักษาโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับไก่ เช่น โรคอุจจาระขาว ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียพวก Salmonella pullorum และในปัจจุบัน (ปี 2547) ได้มีโรคระบาดที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่าเป็นโรคนิวคาสเซิล สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครสวรรค์ระบุว่า เกิดจากโรค แซลโมเนลลา (Salmonellasis) หรือโรคขี้ขาว และโรคอหิวาห์เป็ดไก่ที่ชื่อ Fowl Cholera ผู้รายงานได้มีโอกาสเข้าศึกษาระดับปริญญาโทที่คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร และทำการศึกษาหาระดับที่เหมาะสมและศึกษาผลของสมุนไพรฟ้าทลายโจร (Andrographis paniculata) ในสูตรอาหารไก่ ต่อประสิทธิภาพการผลิตและลดปัญหาโรคอุจจาระขาวในไก่พื้นเมือง โดยใช้ไก่พื้นเมืองคละเพศ อายุแรกเกิด จำนวน 160 ตัว โดยมี ดร.โอภาส พิมพา และ รศ.เดช วัฒนชัยยิ่งเจริญ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ภายใต้ทุนสนับสนุนการวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวร ในการทดลองเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 14 สัปดาห์ ซึ่งในช่วงการทดลองนั้นไก่จะถูกสุ่มแบ่งออกเป็นกลุ่ม จำนวน 16 กลุ่ม กลุ่มละ 10 ตัว แต่ละกลุ่มจะถูกสุ่มแบบอิสระ ให้ได้รับอาหารทดลองที่มีสมุนไพรฟ้าทลายโจรในส่วนประกอบมากขึ้น 4 ระดับ คือ 0% 0.5% 1.0% และ 1.5% ในสูตรอาหารตามลำดับ ไก่แต่ละกลุ่มที่ได้รับอาหารในแต่ละสูตรจะให้กินได้อย่างเต็มที่ เพื่อวัดปริมาณการกินได้ ในแต่ละคอกจะมีน้ำสะอาดให้กินตลอดเวลา ในช่วงสัปดาห์ที่ 8 ครึ่งหนึ่งของไก่ที่ได้รับอาหารทดลองแต่ละสูตร จะถูกสุ่มให้ได้รับเชื้อ Salmonella pullorum ซึ่งเชื้อจะถูกฉีดเข้าปากสู่ทางเดินอาหารโดยตรง วัดอัตราการเจริญเติบโต ประสิทธิภาพการใช้อาหาร ศึกษาอาการเครียดและเหงาซึม ตลอดทั้งวัดคุณภาพซากเมื่อเลี้ยงครบ 14 สัปดาห์ ซึ่งไก่จะมีอายุ 16 สัปดาห์ จากการศึกษาพบว่าระดับของฟ้าทลายโจรที่เหมาะสมในสูตรอาหารคือ 1.0% เพราะมีผลให้ไก่กินอาหารได้มากที่สุด และมีแนวโน้มให้ไก่มีน้ำหนักตัวสูงที่สุด ตลอดทั้งอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุดด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันผลเสียอันเกิดจากเชื้อ Salmonella pullorum ที่มีต่อไก่ เช่น อาการเครียด ส่งผลต่อการกินอาหารที่ลดลงและอัตราการเจริญเติบโตที่ลดลง ซึ่งระดับฟ้าทลายโจร 1.0% ในสูตรอาหารยังสามารถทำให้อัตราการแลกเนื้อดีที่สุดในช่วงที่ไก่ได้รับเชื้อ Salmonella pullorum สมุนไพรฟ้าทลายโจรในสูตรอาหารจะช่วยทำให้เปอร์เซ็นต์ซากดีขึ้น และมีผลให้เปอร์เซ็นต์เนื้อหน้าอกมากด้วย ซึ่งในไก่พื้นเมืองสามารถย่อยสมุนไพรได้ดีกว่าไก่พันธุ์เนื้อในระบบฟาร์ม หลังจากเสร็จสิ้นการศึกษาในเดือนพฤศจิกายน 2546 จึงได้ใช้อาหารที่มีระดับฟ้าทลายโจรในสูตรอาหารระดับ 1% เรื่อยมา และหลังจากนั้นไก่ในฟาร์มที่เลี้ยงไม่มีอาการป่วยแสดงให้เห็น รวมทั้งในช่วงที่มีการระบาดที่รุนแรงและเฉียบพลันยังได้นำฟ้าทลายโจรน้ำหนักแห้งจำนวน 10 กรัม ผสมน้ำ 2.5 ลิตร ให้ไก่กินทุกวันอย่างสม่ำเสมอ พบว่าสามารถลดอัตราการตายของไก่พื้นเมืองลูกผสม 5 สายพันธุ์ ลงได้ (มีอัตราการตายประมาณ 7%) ทั้งนี้ไก่ทุกตัวต้องได้รับการทำวัคซีนตรงตามโปรแกรมที่กรมปศุสัตว์กำหนด จึงได้ทดสอบง่ายๆ ในช่วงที่ 2 โดยเริ่มจากแบ่งไก่ออกเป็น 16 คอก คอกละ 6 ตัว ซึ่งไก่ทุกตัวมีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง หลังจากนั้น ได้นำไก่ชาวบ้านที่ป่วยเป็นโรคระบาดดังกล่าว มาใส่รวมไว้ในคอกที่ 2 ให้น้ำเปล่าตามปกติ หลังจากนั้นสังเกตอาการป่วย ปรากฏว่าไก่คอกที่ 2 มีอาการป่วยอย่างเห็นได้ชัดเจน จึงเริ่มให้ฟ้าทลายโจรน้ำหนักแห้ง 10 กรัม ผสมน้ำ 2.5 ลิตร ให้ไก่กินตั้งแต่คอกที่ 5-16 ปรากฏว่า ไก่คอกที่ 1-4 ตายหมด คอกที่ 5-16 ไม่ตายและยังมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง หลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ หยุดให้ฟ้าทลายโจร และนำน้ำฉีดลงที่พื้นคอกให้เปียกแฉะ (พื้นคอกปูด้วยแกลบ) สังเกตอาการของไก่ที่เหลือพบว่ามีไก่ป่วยแต่อาการไม่รุนแรง จึงให้ฟ้าทลายโจรอีกครั้งหนึ่งผสมลงในน้ำอัตรา 10 กรัม ต่อน้ำ 2.5 ลิตร พบว่าสามารถลดอัตราการตายของไก่พื้นเมืองลูกผสม 5 สายพันธุ์ ลงได้ ซึ่งถ้าหากได้มีการทดลอง วิจัยในระดับที่ละเอียดและชัดเจน อาจจะมีประโยชน์ต่อวงการปศุสัตว์ได้มากขึ้น ดังนั้น การให้อาหารที่มีพืชสมุนไพรฟ้าทลายโจร 1.0% ในสูตรอาหารจึงยังคงสร้างกำไรและลดอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคในฟาร์มได้ และหากเกษตรกรมีการปลูกพืชสมุนไพรฟ้าทลายโจรใช้เองจะทำให้การเลี้ยงไก่ได้กำไรมากยิ่งขึ้น เพราะสมุนไพรฟ้าทลายโจรมีราคาแพง หากจะจัดซื้อมาผสมอาหารไก่เอง ซึ่งมีราคาประมาณ 200 บาท ต่อกิโลกรัม