วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติส่วนตัว (Resume)
ชื่อ นาย จิรวัฒน์ จำปาสาร ชื่อเล่น น๊อต ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 77 หมู่ 1 บ้านไร่สีสุก ตำบลไร่สีสุก อำเภอเสนางตนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ โทรศัพท์มือถือ 090-5970732 Email-address notnoott@hotmail.com วัน เดือน ปีเกิด 9 ธันวาคม 2538 น้ำหนัก 55 ส่วนสูง 175 สถานภาพ โสด สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ศาสนา พุทธ ประวัติการศึกษา จบประถมศึกษาจากโรงเรียนชุมชนไร่สีสุก จบมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนอำนาจเจริญ

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีเปรียบไก่ก่อนชน
วิธีเปรียบไก่ก่อนชน การเปรียบไก่เป็นชั้นเชิงของนักเลงไก่ชนทุกประเภท ถือว่าเป็นความสำคัญที่สุดในการชนไก่ก็ว่าได้ เพราะถ้าเปรียบไก่เสียเปรียบคู่ต่อสู้แล้ว ทางชนะมีอยู่แค่ 30% เท่านั้น นอกเสียจากไก่ของเราเก่งมากจริง ๆ จึงจะชนะได้ ถ้าท่านเป็นนักเลงไก่ที่ดีควรเปรียบไก่ให้รอบคอบ อย่าให้เสียเปรียบคู่ต่อสู้เป็นอันขาด ถ้าเปรียบไก่ได้เปรียบคู่ต่อสู้แล้ว จะเป็นทางนำมาซึ่งชัยชนะอย่างง่ายดาย เคล็ดลับในการเปรียบไก่มีอยู่ด้วยกัน 5 วิธีคือ อายุ ควรพิจารณาคู่ต่อสู้ว่าเป็นไก่รุ่นเดียวกันหรือเปล่า แต่ถ้าของเราเป็นไก่ถ่ายของคู่ ต่อสู้เป็นไก่หนุ่มแล้ว ปัญหาเรื่องอายุก็หมดไป ผิวพรรณ ต้องดูหน้าตาคู่ต่อสู้ว่าหน้าตาแก่กร้านมากกว่าเราหรือเปล่า ถ้าผิวพรรณหน้าตาแก่กร้านมากกว่าเรา การเอาชนะก็จะยาก การจับตัว การเปรียบไก่ต้องจับตัวไก่คู่ต่อสู้ การจับไก่ต้องจับให้แน่นและดูบุคลิกลักษณะของคู่ต่อสู้ว่า แคร่หลัง คอ ปั้นขา ส่วนต่าง ๆ อย่าให้ใหญ่กว่าของเราเป็นการดี ส่วนสูง เราต้องเปรียบตามลักษณะของไก่ของเราชอบ ถ้าไก่ชอบตีบน ควรเปรียบให้ สูงกว่าคู่ต่อสู้ แต่ถ้าไก่ชอบตุ้มชอบคาง ก็ควรเปรียบให้ต่ำกว่าคู่ต่อสู้เล็กน้อย (แต่ต้องให้ตัวของเราใหญ่กว่านิดหน่อยจึงจะพอดีกัน) บางคนชั้นเชิงการเปรียบไก่สูงมากมักจะกดไก่ให้ตัวต่ำมากเวลาเปรียบ ข้อนี้ท่านต้องพิจารณาให้ดี พิจารณาด้วยตัวของท่านเองว่าจะตีได้หรือไม่ได้ การดูสกุลไก่ การดูสกุลไก่ต้องดูว่าลักษณะไก่คู่ต่อสู้มีสีสันอะไร หน้าตาเป็นอย่างไรเกล็ดตามขา หน้าแข้ง เป็นอย่างไรดีกว่าเราหรือเปล่า ถ้าคู่ต่อสู้มีดีกว่าเรา เราไม่ควรชนด้วย เพราะโอกาสชนะมีน้อยมาก ถ้าลักษณะคล้ายคลึงกัน การแพ้ ชนะอยู่ที่น้ำเลี้ยงของไก่เอง ไก่ชนที่ควรหาซื้อโดยไม่ต้องปล้ำ ไก่ชนมีอยู่ด้วยกันหลายสี ส่วนมากนิยมสีเหลืองหางขาว ประดู่หางดำ และเขียวกา ไก่สามสีเป็นที่นิยมกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล แต่ไม่มีในตำรา แต่ประสบการณ์ที่ผู้เขียนเคยพบเห็นมา ส่วนมากชนชนะมากกว่าแพ้ คือ ไก่สีด่างแต่เดือยดำ (ด่างสามสีหรือเรียกว่าด่างดอกมะลิ) ไก่สีเทาเดือยดำ (ตัวสีเทาสร้อยคอเหลือง หรือเทาทอง) ไก่สีเทาเขียวหรือเรียกว่าเทาดำ (ไม่ใช่เทาขี้ควาย) ไก่เขียวแต่คอโกร๋น (ตรงโคนคอไม่มีขน) ไก่ตาดำเดือยดำ ไก่เขียวปากขาว แข้งขาว ตาขาว (ตาปลาหมอตาย) ไก่ 6 ชนิดนี้ ถ้าท่านพบเห็นที่ไหน ไม่ต้องปล้ำก็ซื้อได้เลยแต่อย่าซื้อให้แพงนัก ตามตำราบอกว่าไก่ 6 อย่างนี้ ถ้าเปรียบไม่เสียเปรียบ และร่างการสมบูรณ์ดีเต็มที่แพ้ไม่เป็น หรือถ้าแพ้ก็ต้องเป็นต่อ จนเจ้าของออกตัวได้ลอยลำจะแพ้รวดเลยไม่มีแน่นอน (ต้องดูเกล็ดเป็นสิ่งสำคัญทั้งคู่ต่อสู้และของเราด้วย ว่าใครเหนือใคร)
การหาพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ไก่ โดยปกตินักเลงเล่นไก่ชนมักจะหวงพันธุ์ของแม่ไก่มากกว่าของพ่อไก่ เพราะถือกันว่าสายเลือดของแม่จะให้ได้ลูกไก่พันธุ์ที่ดี วิธีที่จะหาพ่อพันธุ์ให้ได้ไก่เก่ง ท่านต้องเป็นซอกแซกไปเที่ยวตามบ่อนไก่ชนบ่อย ๆ และคอยดูว่าไก่ตัวไหนที่เก่ง คือตีแม่น ชั้นเชิงดี หัวใจทรหด อดทน ไม่หนีง่าย ถ้าไก่ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้ เวลาชนเสร็จแล้วชนะ หรือแพ้ จะตาบอดหรือไม่ก็ตาม เอามาทำพ่อพันธุ์ได้ (ตามตำราบอกว่าเอาไก่ที่แพ้มาทำพ่อไก่มันให้ลูกเด็ดนักแล) ท่านซื้อตอนนั้นราคาอาจจะไม่สูงนัก เพราะนักเลงไก่เขาไม่ค่อยเก็บเอาไว้ แต่ถ้าท่านไม่สามารถทำได้ดังกล่าว ท่านต้องไปหาซื้อเอาตามบ้านนักเล่นไก่ชน ส่วนแม่พันธุ์ก็ควรให้มีคุณสมบัติเหมือนตัวผู้ เพราะการผสมพันธุ์ ถ้าทำโดยวิธีการสุกเอาเผากินแล้วจะทำให้ท่านได้ไก่ดียาก เพราะกว่าจะรู้ว่าตัวไหนดีหรือไม่ดีต้องเสียเวลาอย่างน้อยประมาณ 9 - 10 เดือน การหาพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ไก่ ไก่ชน วิธีคัดเลือกแม่พันธุ์ และแม่พันธุ์ไก่ โดยปกตินักนิยมเล่นไก่ชนมักจะเลือกสีเป็นอันดับแรก ดังนั้นไก่ที่จะนำมาเป็นพ่อพันธุ์ควรเลือกจากไก่ที่มีสีดังต่อไปนี้ สีเหลืองหางขาว สีประดู่หางดำ เดือยดำ เล็บดำ ปากดำ (หรือปากคาบแก้ว) สีเขียวเลา (มีสีเขียวสลับกับสีขาวทั้งตัว หางขาวด้วย) สีเขียวกา หรือเขียวแมลงภู่ (หางดำ) เพราะโบราณกล่าวไว้ว่าไก่ 4 สี นี้เป็นสีที่รักเดิมพันมาก ชนได้ราคาแพง ไม่ค่อยแพ้ ส่วนไก่ สีอื่น ๆ นักเลงเล่นไม่นิยมเล่นกัน เพราะเข้าใจว่าเป็นไก่พันธุ์ผสมมาจากสายเลือดอื่น ที่ไม่ใช่ไก่ชนแท้ อาจจะผสมกับไก่โรดส์ หรือไก่เร็คฮอนก็เป็นได้ น้ำใจไก่พวกนี้จึงไม่ทรหดมาก สำหรับแม่พันธุ์นั้นเวลาใช้ผสมพันธุ์ ควรหาให้เป็นสีเดียวกับพ่อพันธุ์ เวลาให้ลูกจะได้สีเหมือนกัน
คุณสมบัติ และลักษณะของพ่อพันธุ์ไก่ นอกจากสีของไก่แล้ว พ่อไก่ควรมีคุณสมบัติ และลักษณะดังต่อไปนี้ ควรเป็นไก่ที่มีประวัติที่ดี เคยชนชนะจากบ่อนมาแล้ว ปากต้องใหญ่ มีร่องน้ำ 2 ข้างปากลึก (ปากสีเดียวกับขา) นัยตาควรเป็นสีขาว (หรือที่เรียกว่าตาปลาหมอตาย หรือตาสีขน สีเดียวกับสร้อยคอ) คอใหญ่ และปล้องคอถี่ ๆ หัวปีกต้องใหญ่ และขนปีกยาว นิ้วเล็กเรียวยาว เม็ดข้าวสารท้องแข้งใหญ่ และแข้งกลม สร้อยคอยาวติดต่อกันถึงสร้อยหลัง หางยาวแข็งและเส้นเล็ก กระดูกหน้าอกใหญ่และยาว เดือยใหญ่ และชิดนิ้วก้อยมากที่สุด อุ้งเท้าบางและเล็บยาว เกล็ดแข้งใสเหมือนเล็บมือ และมีร่องลึก ชั้นเชิงของไก่ชน ปกติไก่ชนจะมีชั้นเชิงการต่อสู้อยู่ 2 อย่าง คือไก่ตั้ง และไก่ลง ส่วนไก่กอดนั้นเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพ่อพันธุ์ไก่ตั้ง แม่พันธุ์ไก่ลง หรือพ่อพันธุ์ไก่ลง กับแม่พันธุ์ไก่ตั้ง ลูกออกมาจึงกลายมาเป็นไก่กอด ส่วนนักเลงเล่นส่วนมากชอบไก่ตั้ง เพราะการต่อสู้ของไก่ตั้งนั้นเหนื่อยช้าไม่ต้องวิ่งมาก เพราะยืนคอยดักตีอย่างเดียว แต่บางคนชอบไก่เชิง เพราะไก่เชิงไม่ค่อยเจ็บตัวเวลาเข้าชนจะลักตีขโมยตี ดังนั้นถ้าท่านจะผสมก็ควรเลือกชั้นเชิงไก่ให้เหมือนกัน กล่าวคือ ถ้าท่านชอบไก่เชิง ก็ควรหาตัวเมียที่มีชั้นเชิงเหมือนตัวผู้ ถ้าท่านชอบไก่ตั้ง ก็ควรเลือกตัวเมีย ให้ตั้งเหมือนตัวผู้ ถ้าท่านไม่เลือกชั้นเชิงให้เหมือนกันแล้ว ลูกออกมาจะชนเลอะเทอะเป็นไก่โง่ ควรระวังให้มาก เพราะปกติไม่ค่อยคัดเลือกไก่กัน ผสมกันเรื่อยไปจึงไม่ค่อยได้ไก่เก่ง ได้น้อยตัว
อาหารที่ดีของไก่
อาหารที่ดีต้องประกอบด้วย - เป็นอาหารที่สมบูรณ์ด้วยวัตถุธาตุ ซึ่งร่างกายต้องการ - ราคาถูกพอสมควร - ไม่บูดเน่า ขึ้นรา - หาได้ง่ายในท้องถิ่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือคน ร่างกายนั้นก็ต้องมีความต้องการอาหาร จึงจะเจริญเติบโต แข็งแรง อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของไก่ เมื่อไก่กินเข้าไปแล้วสามารถทำให้เสริมสร้างส่วนต่างๆ ให้แข็งแรง เติบโต และไข่ดกก็คือโปรตีน โปรตีนในอาหารไก่ถือตามอายุเป็นเกณฑ์ คือ 1. ลูกไก่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 8 อาทิตย์ ควรมีอาหารจำพวกโปรตีน 20-25 % 2. ลูกไก่รุ่นอายุตั้งแต่ 2-4 เดือน ควรมีอาหารจำพวกโปรตีน 16-17 % 3. ไก่ไข่อายุรุ่นสาวขึ้นไป ควรมีโปรตีน 15 % 4. ไก่ที่เลือกไว้เป็นพ่อ - แม่พันธุ์ อายุที่ควรผสมพันธุ์ ควรมีโปรตีน 16 % และควรมีโปรตีนจากอาหารประเภทเนื้อสูงกว่าโปรตีนที่ได้จากอาหารพืช และเพิ่มไวตามินให้อีก การให้ไก่กินอาหาร จะต้องมีส่วนสัดตามความต้องการของร่างกาย ไม่ควรให้แร่ธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป เพราะถ้าให้มากเกินไปจะไม่เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย และอาจจะให้โทษแก่ร่างกายเสียอีก วิธีให้อาหารหยาบ วิธีให้อาหารหยาบมีอยู่ 2 วิธีคือ 1. โปรยลงบนหญ้าฟาง เพื่อให้คุ้ยเขี่ยกินเอง เป็นวิธีที่ทำให้ไก่ได้ออกกำลัง ซึ่งจะทำให้ไก่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นการบังคับไม่ให้อ้วนจนเกินไป เพราะไก่ได้ออกกำลังอยู่เสมอ ตามปกติควรโปรยให้กินวันละ 2 หน เช้า-เย็นก็พอ มื้อเช้าควรให้ราวครึ่งหนึ่งของมื้อเย็น และอาหารหยาบที่ให้ในวันหนึ่งควรให้เท่ากับอาหารป่น การให้อาหารหยาบตามวิธีนี้ใช้กับไก่ทุกชนิด นอกจากไก่รุ่นซึ่งอาจจะเลือกใช้วิธีที่สองได้ 2. ใส่รางกลตั้งไว้ให้กินเอง วิธีนี้มีประโยชน์ที่ตัดความลำบากและลดค่าแรงงานให้น้อยลง แต่ถ้ารางไม่ดีทำให้เปลือง เนื่องจากอาหารสำหรับไก่ที่กำลังเติบโตและมีที่กว้างขวาง รางกลใส่อาหารหยาบควรตั้งไว้ในที่ร่มรื่น วิธีให้อาหารป่นแบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ 1. ใส่อาหารป่นแห้งไว้ในรางธรรมดา หรือในรางกล ให้ไก่กินอาหารเองตามชอบ วิธีนี้ใช้กันอยู่ทั่วไปเพราะสะดวกไม่ต้องเสียเวลา ไก่อยากกินเมื่อใดก็กินได้ แต่ถ้าทำรางไม่ดี ในเวลาที่ไก่จิกกินก็จะหกทิ้งหมด จึงควรทำรางให้ดี 2. ให้อาหารป่นเปียกกินในรางธรรมดา อาหารป่นเปียกไก่จะกินได้มากกว่าอาหารป่นแห้ง จึงทำให้โตเร็ว เหมาะแก่การขุนให้ไก่อ้วน เร่งให้ลูกไก่โตเร็ว เร่งให้แม่ไก่ไข่มาก ถ้าเลี้ยงไก่จำนวนน้อยควรให้อาหารโดยวิธีนี้ แต่ระวังอย่าให้อาหารบูดหรือขึ้นรา จะทำให้เกิดท้องเสียได้ วิธีให้อาหารที่ใช้กันมากที่สุด ได้แก่ วิธีให้อาหารหยาบบนหญ้าแห้ง เพื่อให้ไก่ได้คุ้ยเขี่ยหากินทุกเช้า เย็น และอาหารป่นแห้งใส่รางธรรมดาหรือรางกล ตั้งไว้ให้กินตลอดเวลา การให้กินแบบนี้ ใช้ได้ดีสำหรับไก่รุ่นทุกชนิด ตั้งแต่ลูกไก่รุ่นจนถึงไก่ที่จะทำพันธุ์ ผู้เลี้ยงไก่จำนวนมากใช้วิธีนี้ทั้งสิ้น ข้อควรจำในเรื่องอาหาร 1. จงให้อาหาร ให้ตรงกับความประสงค์ เช่น ต้องการให้ไก่ไข่ดก ก็ให้อาหารสำหรับไปทำไข่ ถ้าต้องการให้ลูกไก่เติบโต ก็ให้อาหาร สำหรับทำความเจริญเติบโต ถ้าต้องการให้ไก่อ้วน ก็ต้องให้อาหารสำหรับทำให้ไก่อ้วนเป็นต้น การให้อาหารให้ถูกจุดหรือให้ตรงกับเป้าหมายเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะผลมันจะออกมาตามความต้องการของเรา 2. อย่าเสียดายอาหาร ในการเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ยิ่งได้กินอาหารมากเท่าใดก็ยิ่งดีมากเท่านั้น เพราะอาหารที่กินเข้าไปนั้น จะมีเหลือสำหรับทำไข่หรือทำเนื้อมากตามส่วน การเลี้ยงสัตว์ จะถือเป็นการสิ้นเปลืองด้วยการกินของสัตว์นั้นจะนำมาถือเป็นหลักไม่ได้ เพราะอาหารที่มันกินเข้าไปจะช่วยสร้างร่างกายให้เติบโต ฉะนั้นจึงควรให้ไก่กินให้อิ่มอย่าให้อดๆ อยากๆ ผลที่ได้รับจะไม่คุ้มค่าที่เราลงทุนไป 3. จงประหยัดอาหาร การประหยัดอาหารนั้นไม่ได้หมายความว่า ให้ไก่กินแบบอดๆ อยากๆ กินไม่อิ่ม แต่หมายความว่าให้กินให้อิ่มอย่าให้มีเหลือทิ้ง หรือหกเรี่ยราด เพราะการที่หกเรี่ยราดนั้น เท่ากับว่าเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ แทนที่จะได้เก็บไว้กินมื้อต่อไป กลับต้องเสียไปโดยไม่ได้อะไรเลย จึงเรียกว่าไม่รู้จักประหยัด 4. จงให้กินให้อิ่มให้ทั่วถึงกัน เป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่ง ในการให้อาหารสัตว์ เพราะฉะนั้นในการให้อาหารควรมั่นเอาใจใส่ดูแล อย่างใกล้ชิด คอยดูว่าตัวใหนไม่ได้กินบ้างหรือกินไม่อิ่ม ทั้งนี้เพราะบางตัวถูกตัวอื่นรังแกจนกินไม่ได้ เนื่องจากเล็กกว่าตัวอื่นย่อมเสียเปรียบและแย่งกินไม่ทันเขา ดังนั้นควรจะสังเกตดูว่า ตัวใหนมีนิสัยไม่ดี ชอบรังแกตัวอื่นหรือมีขนาดโตกว่าตวอื่นก็ควรแยกเสีย จัดให้กินต่างหาก การคอยดูแลอยู่เสมอนั้น จะทำให้ไก่ได้กินอาหารอย่างทั่วถึง เป็นต้นว่า ตอนเย็นไก่เข้านอนแล้ว ใช้มือคลำดูที่กระเพาะ ไก่ตัวใดมีอาหารเต็มแสดงว่าไก่ตัวนั้นอิ่ม แต่ถ้ากระเพาะแห้งแสดงว่าไก่ตัวนั้นกินอาหารไม่อิ่ม 5. ให้กินอาหารตรงเวลาสม่ำเสมอ การให้อาหารสม่ำเสมอนั้น จะทำให้ไก่มีสุขภาพดีขึ้นไก่จะเจริญเติบโตเร็ว ไก่เมื่อถึงเวลากินอาหารมันจะรู้ด้วยสัญชาติญาณของมัน บางครั้งมันจะร้องเสียงดังและถี่ขึ้น ดังนั้นเราควรจะรีบให้อาหารทันที อย่าให้คลาดเวลาเป็นอันขาด 6. ควรเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด การเอาใจใส่ในการเลี้ยงไก่ มีค่าเท่ากับการให้อาหารเหมือนกัน อาหารทำให้ไก่เจริญเติบโต ร่างกายแข็งแรง ความเอาใจใส่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเอาใจใส่ดูแลให้ดี ก็จะทำให้ ไก่เจริญเติบโตเร็ว แข็งแรงปราศจากเชื้อโรคมาเบียดเบียน 7. การให้อาหารจะถือตามหลักตำราเถรตรงไม่ได้ การให้อาหารจะยึดถือ ตามทฤษฎี เป็นหลักเสมอไปไม่ได้ เพราะอาหารบางชนิด ร่างกายของสัตว์มีอยู่แล้ว ถ้าเราให้กินตามหลักวิชา จะทำให้สัตว์มีอาหารมากเกินความต้องการ เพราะฉนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลง บางสิ่งบางอย่างตามความเหมาะสม ทั้งนี้ต้องคอยสังเกตและแก้ไขอยู่เสมอ ฉะนั้นหลักทฤษฎีและการปฏิบัติ จึงไม่ตรงกันเลยทีเดียว การปฏิบัติย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสม ตำราจึงถือเป็นคู่มือที่เราจะยึดถือเป็นหลักเท่านั้น ส่วนการจะให้ผลอย่างแท้จริงและถูกต้องนั้น จะต้องอาศัยการปฏิบัติเป็นหลักสำคัญ เพราะฉะนั้นการเลี้ยงสัตว์ที่จะได้ผลดี ย่อมขึ้นกับการปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทฤษฏีเป็นแนวทางเท่านั้น อาหารดังกล่าวจัดเป็นพวกๆดังนี้ 1. น้ำ เป็นอาหารจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต น้ำช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในการดูดซึม เป็นตัวนำอาหารไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย และช่วยในการรักษาระดับความร้อนในร่างกาย แม้แต่การผลิตไข่น้ำก็ช่วย เพราะไข่ไก่มีน้ำอยู่ประมาณ 85 % ในไข่แดงมีน้ำประมาณ 49 % จึงเห็นได้ว่าน้ำจะขาดเสียไม่ได้สำหรับสิ่งมีชีวิต 2. แร่ธาตุ ในร่างกายประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ เป็นต้นว่า แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียมคลอไรด์ แมงกานิส ไอโอดีน แมกนีเซียม สังกะสี โบรอน ทองแดง และเหล็ก แต่มีธาตุสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ - แคลเซียม เป็นส่วนประกอบสำหรับเสริมสร้างกระดูก สร้างไข่ ถ้าไก่ขาดแร่ชนิดนี้มักจะเป็นโรคกระดูกอ่อน ไข่เปลือกอ่อน อ่อนแอไม่สมบูรณ์ แร่ชนิดนี้ได้มาจากเปลือกหอย หินปูน ควรมีเปลือกหอยทิ้งเอาไว้ให้ไก่จิกกินหรือจะเพิ่มในสูตรอาหารก็ได้ - ฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ธาตุนี้ทำงานร่วมกับธาตุหินปูนและเปลือกหอย ควรให้มีในอาหารไก่สัก 1 % - เกลือ ควรใส่ในถาดอาหารไก่สัก 1 % 3. โปรตีน ได้จากปลาป่น เนื้อป่น กากถั่ว กากมะพร้าว ในผักต่างๆ ใบกระถิน เม็ดทานตะวัน หางนมผง อาหารโปรตีนทำให้ร่างกายเจริญเติบโต แข็งแรง สร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ควรมีโปรตีน 15 % ในสูตรอาหาร 4. คาร์โบไฮเดรท เป็นอาหารที่สร้างพลังงาน และความร้อน ทำให้ไก่อ้วน มีมากในอาหารจำพวกรำ ปลายข้าว ข้าวโพด 5. ไขมัน ทำให้เกิดพลังงานและความร้อน มีในเมล็ดพืชต่างๆ และน้ำมันจากพืชและสัตว์ 6. ไวตามิน เป็นอาหารจำพวกสร้างความเจริญเติบโต แข็งแรง ในอาหารไก่ควรมีไวตามินจำพวก เอ.ดี. มากเป็นพิเศษ มากกว่าไวตามินชนิดอื่นๆ - ไวตามินเอ มีอยู่ในพืชและหญ้าสด น้ำมันตับปลา ใบกระถิน ข้าวโพดสีเหลือง ช่วยในการผลิตไข่ สร้างความต้านทานเชื้อโรค ในจำนวนไก่ 100 ตัว ต้องการไวตามินประจำวันจากข้าวโพดสีเหลือง 12.7 กิโลกรัม หรือจากผักสดประมาณ 1 กิโลกรัม - ไวตามินดี ไวตามินชนิดนี้ได้รับจากแสงแดดโดยตรง ไก่ต้องการไวตามินดี เพื่อช่วยในการย่อยแคลเซียม และฟอสฟอรัสในอาหาร ถ้าขาดไวตามินดีเปลือกไข่จะบอบบางและไข่หลายใบจะฟักไม่เป็นตัว - ไวตามินจี หรือ โรโบฟลาวิน ได้จากตับ นมผง หางนมผง ไบอัลฟัลฟ่าป่า ใบกระถิน ปลาป่น เศษเนื้อ และเมล็ดพืชบางจำพวก ช่วยในการฟักไข่ ถ้าไก่ขาดไวตามินชนิดนี้ จะฟักไม่ได้ผล วิธีให้อาหาร การให้อาหารไก่มีหลายวิธีด้วยกัน ให้เลือกเอาตามความเหมาะสม ภาชนะที่ใส่อาหารไก่ ควรทำเป็นรางยาวให้ไก่กินได้ทั้งสองข้าง มีที่ป้องกันไม่ให้ไก่เข้าไปคุ้ยเขี่ยได้ การให้อาหารไก่ให้ 2 เวลา คือ เช้าและเย็น หรือจะให้มากกว่านี้ก็ได้เพราะไก่ชอบกินจุกจิก วิธีให้อาหาร 1. อาหารหยาบล้วนๆ คือให้ข้าวเปลือก ข้าวโพดบดหยาบอย่างเดียว 2. อาหารป่น+อาหารหยาบ ให้ข้าวเปลือก ข้าวโพดบดหยาบตอนเช้าและเย็น และมีอาหารป่นตลอดวัน อาหารป่นคืออาหารชนิดผสมเข้าด้วยกัน 3. อาหารป่นล้วนๆ ให้กินแบบอาหารป่นแห้ง หรือ ป่นเปียก คลุกน้ำหรืออาหารเหลวๆ ที่มีคุณค่าทางอาหาร การเลี้ยงลูกไก่ 1. เครื่องกก คือเครื่องทำให้เกิดความร้อนเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ลูกไก่เหมือนกกด้วยแม่ เครื่องกกนี้จะใช้ไฟหรือใช้ตะเกียกก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม ความร้อนที่ลูกไก่ต้องการ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 4 อาทิตย์ ระหว่าง 90-95 องศาฟาเรนไฮท์ และค่อยๆลดลงอาทิตย์ละ 4 องศา จนถึง 80-85 องศาฟาเรนไฮท์ ถ้าอากาสหนาวควรจะกกต่อไปสัก 1-2 อาทิตย์ 2. อาหาร เมื่อไก่แรกเกิดไม่ควรจะให้อาหารทันที เพราะมันมีอาหารสำรองอยู่แล้ว สัก 2-3 วันจึงค่อยให้อาหารละเอียด ใส่ภาชนะตั้งให้กินตลอดเวลา แต่ให้ครั้งละน้อยๆให้บ่อยๆ ถ้าให้มากลูกไก่จะกินมากจนเกินน้ำย่อยทำงาน จะเป็นอันตรายแก่ลูกไก่ได้ 3. น้ำสะอาด ตั้งให้กิน การเลี้ยงลูกไก่ทั่วๆไป การเลี้ยงดูอาทิตย์แรก 1. เมื่อลูกไก่ขนแห้ง เอาออกจากเครื่องกกหรือแม่ไก่ ตั้งน้ำและกวาด ทรายให้กิน วันรุ่งขึ้นตั้งอาหารให้กิน 2. ใช้นมสดผสมให้กินครึ่งต่อครึ่ง ถ้ามีนมสด 3. ทำรางอาหารยาวรางละประมาณ 1 ฟุต วางไว้ห่างๆ เพื่อให้ลูกไก่กระจายกิน ไม่ต้องแย่งกัน 4. ควรจัดที่ลูกไก่ให้เพียงพอ อย่าให้คับแคบจนเกินไป 5. ทำการฉีดวัคซีนป้องกัน โรคนิวคลาสเซิล และตรวจโรคอุจจาระขาว โดยการทำของสัตวแพทย์ การเลี้ยงดูอาทิตย์ที่ 2 การเลี้ยงดูในระยะนี้ ก็ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษเช่นเดียวกัน เพราะไก่ยังไม่แข็งแรง มันจะตายในระยะนี้เสมอ การเลี้ยงดูก็ให้อาหารที่จะสร้างกำลังให้แก่ลูกไก่ คือ 1. การให้กินอาหารป่นตลอดเวลา ให้กินผักสดวันละ 1-2 ครั้ง 2. ตอนเย็นควรให้อาหารหยาบบ้าง 3. เครื่องกกควรลดความอุ่นลง ในระยะนี้ควรจะแยกลูกไก่ เพื่อไม่ให้แออัดจนเกินไป 4. หมั่นทำความสะอาดพื้นกรงขัง ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อฉีดหรือพ่น และเปลี่ยนที่รองพื้นบ่อยๆ พื้นสกปรกจะทำให้เกิดเชื้อโรคได้ 5. ให้ลูกไก่ได้รับแสงแดดเช้าๆอยู่เสมอ การได้รับแสงแดดอ่อนๆจะทำให้ลูกไก่กระปรี้กระเปร่าขึ้น การเลี้ยงดูอาทิตย์ที่ 3-6 ระยะนี้ลูกไก่จะแข็งแรงขึ้น พอจะดูได้ว่าตัวไหนแข็งแรงและไม่แข็งแรง ตัวที่ไม่แข็งแรงควรแยกออกหรือทำลายเสีย การเลี้ยงดูคือ 1. อาทิตย์ที่ 3 ลดความอุ่นลง พออาทิตย์ที่ 5 ไม่ต้องให้เลย 2. ให้กินอาหารป่นอยู่ตลอดเวลา 3. ให้กินเปลือกหอย โดยจัดไว้ต่างหาก 4. จะเพิ่มอาหารหยาบขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เพราะลูกไก่แข็งแรงพอแล้ว 5. ควรขลิบจงอยปากออกเล็กน้อย กันจิกกันเอง จะทำให้เกิดบาดแผลรักษาหายยาก 6. เมื่อเห็นว่าตัวไหนถูกจิกควรแยกออก เพราะมันจะถูกจิกซ้ำ กลายเป็นแผลรักษายาก การเลี้ยงดูอาทิตย์ที่ 7-16 ในระยะนี้เป็นระยะไก่รุ่น ไก่แข็งแรงดีแล้ว การเลี้ยงดู 1. แยกลูกไก่ตัวผู้และตัวเมียออกจากกัน 2. ให้น้ำและอาหารกินพอเพียง 3. มีที่บังแดดและลม เพราะไก่ถูกลมโกรกจะเป็นหวัดได้ง่าย 4. รักษาโรงเรือนให้สะอาดอยู่เสมอ การเลี้ยงไก่รุ่น 1. ลักษณะที่ควรคัดออก - ขนดกยุ่งและด้าน ขนงอกช้า โตช้า - หน้าซีด ขาวเผือด อมโรค ตาขุ่นและลึก - หงอนและเหนียงเล็ก หด สีแดงช้ำๆเป็นขุย - อ่อนแอโตช้า - รูปร่างไม่ได้ส่วน ลำตัวโพลก - หน้าแข้งและปากสีขาวซีด - อ่อนแอ หัวยาวแหลมคล้ายหัวงู หรือหัวกา กระดูกหน้าอกคด 2. ลักษณะที่ควรเก็บไว้ - ขนดกลื่นเป็นมัน ขนงอกเร็วและโตเร็ว - หน้าตาสดใส ตาโต ตาไม่เด่นนูน ไม่จมลึก - หงอนและเหนียงโตงามสีแดงสดเงาเป็นมัน - แข็งแรง ว่องไว สมบูรณ์ เคลื่อนไหวเป็นปกติ - ลำตัวลึกและตัน รูปร่างสมส่วนใหญ่เนื้อหนังดี - หนังแข็ง ปากสีเหลืองเข้ม - แข็งแรง ลักษณะตรงตามพันธุ์ หัวสวยสง่า - กระดูกหน้าอกตรง การเลี้ยงไก่รุ่น ไม่ควรจะให้อยู่แออัด นอกจากเป็นการเสียสุขภาพแล้ว ยังแย่งอาหารกันกินด้วย เนื้อที่สำหรับไก่รุ่นไม่ควรเกิน 5 ตัว ต่อ 1 ตารางเมตร เมื่อจะนำไก่ขึ้นขังกรง ควรจะถ่ายพยาธิเสียก่อน การไม่มีพยาธิในตัวของมัน จะทำให้เจริญเติบโตเร็วและไข่ดก อาหาร ควรเป็นอาหารที่มีส่วนสัดครบถ้วน ให้ผักสดกินตลอดเวลา ให้อาหารโปรตีน ไขมัน และวิตามินอย่างครบถ้วน
ไก่เขียวเลาหางขาว เพศผู้ขนพื้นตัวสีดำ และขนปีกหางสีดำ หางกะลวยคู่สีขาว ส่วนคู่อื่นๆ มีสีขาวปลายดำ สร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลังสีเขียวเลา คือ ขนสร้อยท่อนล่างสีขาว องปลายสีเขียว ส่วนปาก แข้ง เล็บ สีขาวอมเหลืองหรือขาวงาช้าง มี 3 สายพันธุ์ คือ 1.เขียวเลา ใหญ่พระเจ้า 5 พระองค์ 2.เขียวเลาเล็กหางขาว 3.เขียวเลาดอกหางขาว ไก่ลายหางขาว เพศผู้ขนพื้นตัวลาย ขนปีก ขนหางพัดลาย หางกะลวยคู่กลางสีขาวปลอด คู่อื่นๆ สีขาวปลายลาย ส่วนปาก แข้ง เล็บ เป็นสีขาว อมเหลือง ไก่ขาวหรือไก่ชี ชีเพศผู้ขนพื้นตัวสีขาว ขนสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลัง เป็นระย้าสีขาวรับกันกับปาก แข้ง เล็บ และมีเดือย สีขาวอมเหลือง หางดัด กางกะลวยเป็นสีขาว ส่วนลักษณะเพศเมียเหมือนเพศผู้ ไก่ขาวแบ่งตามเฉดสีได้ 4 ชนิด คือ ไก่ชีขาว แพรขาว ขาวกระดำ และขาวกระแดง
ไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้านกับไก่ชน ข้อมูลจากตำราทั้งเก่าและใหม่ รวมกับข้อมูลที่ได้จากการซักถามพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่และคนที่ชอบเลี้ยงไก่ชน ทำให้เราสรุปได้ว่า ”ไก่ชนกับไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้านก็คือไก่ประเภทเดียวกัน” จนอาจพูดเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า ”ไก่ชนก็คือไก่บ้านดีๆ นี่เอง หรือไก่ชนกับไก่บ้านก็คือไก่อันเดียวกันนั่นแล” เพียงแต่ว่าไก่ที่จะนำไปชนกันนั้นเป็นไก่ที่เก่ง ผ่านการคัดเลือก ผ่านการฝึกฝนหรือเก็บเนื้อเก็บตัวมาแล้ว ไก่ที่นำไปชนจึงเก่งผิดจากไก่บ้านตัวอื่นๆ และจากไก่ตัวเมียตัวผู้ที่เก่งๆ นี่เองชาวบ้านมักจะเลี้ยงไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ลูกหลานไก่ที่เกิดมาก็มักจะเก่งเหมือนพ่อแม่ไก่ ชาวบ้านก็เลยเรียกไก่พื้นบ้านเหล่านี้ว่า ”พันธุ์ไก่ชน” ด้วยเหตุนี้แหละจึงทำให้พวกเราซึ่งเกิดทีหลังรู้สึกสับสนระหว่างคำว่า ”ไก่พื้นบ้านกับไก่ชน” ไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้านมาจากไหน จากการค้นคว้าพบว่า ไก่พื้นบ้านหรือไก่ชนพัฒนาสายพันธุ์มาจากไก่ป่า(ไก่ป่าทั่วไป, ไก่ป่าตุ้มหูขาว, ไก่ป่าตุ้มหูแดง, ไก่ป่าตุ้มหูเหลือง และอาจจะมีอีกหลายชนิด) โดยธรรมชาติแล้วไก่ป่าจะมีนิสัยหวงถิ่นหรือพื้นที่อันเป็นเขตแดนของตน โดยเฉพาะไก่ป่าตุ้มหูแดงนั้นหลายตำราบอกว่าจะหวงถิ่นมากเป็นพิเศษ มักจะขับไล่ไก่ตัวอื่นที่ลุกล้ำอาณาเขตเสมอ ต่อมาเมื่อคนยุคโบราณเห็นถึงข้อดีความเก่งความเป็นนักต่อสู้ เลยจับไก่ป่ามาเลี้ยงและในยามว่างงานก็นำไก่มาตีกัน(ซึ่งต่อมาเรียกว่า ”การชนไก่”) ไก่ตัวไหนดีตัวไหนเก่งชาวบ้านก็เก็บไว้ทำพ่อแม่พันธุ์และพัฒนาสายพันธุ์มาเรื่อยๆ จนลูกหลานไก่ป่าคุ้นเคยกับผู้คน จากไก่ป่ากลายเป็นไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้าน เหล่ากอหรือเผ่าพันธุ์ไหนเก่งก็เรียกว่า ”พันธุ์ไก่ชน” การชนไก่ถือว่าเป็นการละเล่นขณะพักผ่อนยามว่างงาน เป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่งของบรรพบุรุษสืบมาจนถึงทุกวันนี้
ไก่เหลืองหางขาว มีถิ่นกำหนดเดิมอยู่ที่บ้านหัวเท ตำบลบ้านกร่าง จังหวัดพิษณุโลก ไก่เหลืองหางขาวเป็นไก่ที่ฉลาดปราดเปรียว อดทน ลักษณะเด่นคือ ตัวผู้จะมีสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลัง ขนปิดหูเหมือนกันตลอด มีจุดขาว 5 แห่ง คือ ที่ท้ายทอย หัวปีกทั้งสองข้าง ที่ข้อขาทั้งสองข้าง บางตำราเรียกว่า ”พระเจ้า 5 พระองค์” เพศผู้มีสร้อยคอ สร้อยปีก สร้อยหลัง เป็นสีเหลืองเหมือนกันตลอด ขนสีตัวเป็นสีดำ ส่วนปาก แข้ง เล็บ เดือย มีสีขาวอมเหลืองคล้ายสีงาช้าง ลูกตาสีเหลืองอ่อน ”เรียกว่าตาปลาหมอตาย” ส่วนเพศเมียมีขนพื้นตัวเป็นสีดำตลอดมีกระขาว 2 หย่อมเหมือนกัน
ไก่ประดู่แสมดำ มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบพื้นที่ภาคกลางเป็นหลัก อาจมีพบในภูมิภาคอื่นบ้างปะปราย ซึ่งในปัจจุบันพบเห็นได้น้อยมาก ลักษณะ เพศผู้จะมีสีสร้อยคอ สนับปีก สร้อยหลังรวมถึงขนปิดหู เป็นสีประดู่ ซึ่งมีทั้งสีประดู่แดงและประดู่เม็ดมะขาม ขนพื้น ตัวเป็นสีดำ ปีกและหางพัดรวมถึงหางกะลวยเป็นสีดำปราศจากสีขาวแซม ปาก และสีตาดำสนิท แข้ง เล็บ เดือย เป็น สีดำ ใบ หน้าจะมีสีแดงคล้ำ(แดงอมดำ) ขอบตาดำ ผิวหนังบริเวณลำตัวจะเป็นสีคล้ำ(แดงอมดำ) ในช่วงที่ยังเล็กอยู่มักจะมีสีผิวดำ ทั้งใบหน้า และบริเวณลำตัวไก่ประดู่แสมดำเพศเมียจะมีขนพื้นตัวเป็นสีดำตลอดตัว ใบหน้าจะมีสีดำชัดเจนมากกว่าตัวผู้มาก ปาก แข้ง เล็บ มีสีดำสนิท
ยาถ่ายไก่ ยาถ่ายโบราณคนนิยมใช้กันมากมีส่วนผสมดังนี้ 1. เกลือประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ 2. มะขามเปียก 1 หยิบมือ 3. ไพลประมาณ 5 แว่น 4. บอระเพ็ดยาวประมาณ 2 นิ้ว หั่นเป็นแว่นบาง ๆ 5. น้ำตาลปีบประมาณ 1 ช้อนคาว 6. ใบจากเผาไฟเอาถ่าน (ใช้ใบจากประมาณ 1 กำวงแหวน) ใช้ครกตำให้ละเอียดเข้า ด้วยกัน เวลาใช้ยาควรให้ไก่กินเวลาเช้าท้องว่าง ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดหัวแม่มือ 2 เม็ด ให้น้ำกินมาก ๆ หน่อย แล้วครอบผึ่งแดดไว้รอจนกว่ายาจะออกฤทธิ์ ถ่ายเป็นน้ำ 3 ครั้ง ก็พอแล้วเอาข้าวให้กินเพื่อให้ยาหยุดเดิน น้ำสำหรับอาบไก่ ปกติไก่เลี้ยงจะต้องอาบน้ำยาจนกว่าไก่จะชน เครื่องยาที่ใส่น้ำต้มมีดังนี้ 1. ไพลประมาณ 5 แว่น 2. ใบส้มป่อยประมาณ 1 กำมือ 3. ใบตะไคร้ ต้นตะไคร้ 3 ต้น 4. ใบมะกรูด 5 ใบ 5. ใบมะนาว 5 ใบ เอา 5 อย่างมารวมกันใส่หม้อต้มให้เดือดแล้วทิ้งไว้ให้อุ่น พออุ่น ๆ แล้วค่อยอาบน้ำไก่ แล้ว นำไปผึ่งแดดให้ขนแห้ง สมุนไพรเกี่ยวกับโรคผิวหนัง บาดแผล เห็บหมัด ไรไก่ สมุนไพรเดี่ยว 1. รากหนอนตายอยาก แผลติดเชื้อ มีหนอง มีหนอน ตำให้แหลก พอก หรือคั้นน้ำ ทาแผล 2. ตะเคียน ต้มเคี่ยวใช้ทาแผล หรือตำให้แหลกแช่น้ำ ใช้แช่เท้าเปื่อย 3. ประดู่ ต้มเคี่ยวใช้ทาแผล 4. หนามคนทา ใช้ฝนทาแผล หนอง 5. ลูกหนามแท่ง ต้มใช้น้ำชะล้างแผล หรือชำระล้าง 6. ลูกมะคำดีควาย ต้ม ใช้น้ำชำระล้าง 7. กำมะถันแดง โรยบนเตาไฟใช้รมบาดแผล 8. หนามกำจาย ฝนทาแผล ติดเชื้อ 9. เปลือกสีเสียด ต้มเคี่ยว ใช้ล้างแผล แช่เท้าเปื่อย 10. ว่านมหากาฬ ตำพอกแผล 11. ฟ้าทะลายโจร ต้มเคี่ยวใช้ชะล้าง 12. ยาฉุน แช่น้ำ ไล่เห็บ เหา หมัด ไรไก่ 13. แมงลักคา ขยี้สดๆวางไว้ในเล้าไก่ไล่ไรไก่ น้ำยาอาบไก่ชน รักษาผิว และทำให้ไก่แข็งแรง 1. ไม้กระดูกไก่ทั้ง 2 2. เปลือกสมอทะเล 3. ยอดส้มป่อย 4. ขมิ้น 5. ใบหนาด ต้มรวมทั้งหมดเอาน้ำใช้อาบ ยาประคบไก่รักษาอาการฟกช้ำ และบาดแผล 1. ไพล 2. ขมิ้น ( ขมิ้นอ้อย หรือขมิ้นก็ได้ ) ตำใช้ประคบ พืชสมุนไพรป้องกันหวัดไก่ภูมิปัญญาไทยแท้แต่โบราณ จาก สถานะการณ์ ไข้หว้กนกที่ผ่านมา ในขณะที่ฟาร์มไก่เป็นโรค ระบาดตายหมดเล้า แต่เรากลับพบว่า "ฟาร์มไพบูลย์" ตั้งอยู่เลขที่ 23 หมู่ 3 ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีไก่ไข่ที่เลี้ยงไว้ประมาณ 20,000 ตัว ในพื้นที่ 5 ไร่ กลับไม่ เป็นอะไรเลย ยังมีอาการปกติดีทุกอย่างไพบูลย์ รักษาพงษ์พานิชย์ อายุ 55 ปีเจ้าของฟาร์มไก่ไข่ เล่าว่า เขามีเทคนิคในการเลี้ยงไก่ ที่ไม่เหมือนกับฟาร์มอื่นๆ กล่าวคือเขาได้ใช้สมุนไพรไทย เข้ามาช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับไก่ไข่ภายในเล้า โดยเคล็ดลับ ในการเลี้ยง และดูแลรักษาไก่ ให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคระบาด โดยเฉพาะโรคไข้หวัด และโรคอหิวาต์นั้น ใช้ ฟ้าทะลายโจรผง และบอระเพ็ดผสมให้ไก่กิน ซึ่งฟ้าทะลายโจรนี้ใช้ได้ทั้งก้าน และใบนำมาบดผสมเข้ากับบอระเพ็ด อัตราส่วนโดยประมาณ ฟ้าทะลายโจร 1 ตัน ผสมบอระเพ็ด 2 กิโลกรัม แล้วนำสมุนไพรที่ว่านี้ผสมลงในอาหารอีกครั้ง อัตราส่วนสมุนไพร 15 กิโลกรัมต่ออาหารไก่ 1,000 กิโลกรัม คลุกเคล้าผสมให้เข้ากัน ก่อนนำเอาไปให้ไก่กินทุกวันฟ้าทะลายโจรจะช่วยในเรื่องของการป้องกันในเรื่องของหวัดไก่และคุมเรื่องโรคอหิวาต์ หรือโรคท้องร่วงที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงหน้าหนาว เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับไก่ ทำให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรงไม่เป็นโรคหรือติดโรค ง่ายเวลาที่มีการระบาด เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมานาน และค่อนข้างใช้ได้ผล ซึ่งนอกจากสมุนไพรแล้ว เรื่องของ "น้ำ" ก็สำคัญ เพราะเชื้อมักมากับน้ำ ฉะนั้นการใช้น้ำคลองหรือน้ำบาดาลให้ไก่กิน ควรใส่ยาฆ่าเชื้อพวกคลอรีนหรือเพนนิซิลลินเสียก่อนอีกวิธีที่ใช้กันมานาน ก็คือ การใช้ตะไคร้ วิธีการก็คือนำตะไคร้ทั้งกอมาต้มให้ไก่กินแทนน้ำ (การต้มน้ำก็เป็นการฆ่าเชื้อโรคได้ทางหนึ่ง) ส่วนไอน้ำตะไคร้ที่ต้มก็ให้ใช้วิธีต่อท่อพ่นเข้าไปในเล้าไก่ แต่ทั้งนี้ต้องทำความสะอาดเล้าไก่ให้ดีเสียก่อน เชื่อว่าเป็นการไล่หวัดไก่ได้ วิธีการนี้เคยใช้เมื่อครั้งเกิดโรคระบาดไก่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม แม้เกษตรกรบางรายอาจจะมองว่าเป็นการไปเพิ่มต้นทุน แต่ถ้าสามารถป้องกันโรค และไม่เกิดความเสียหายจากโรคระบาดที่เกิดขึ้นก็ถือว่าคุ้มที่จะลงทุน ตามสำนวนไทยที่ว่า ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน แนะใช้ "สมุนไพร" แทนยาปฏิชีวนะ เสริมสร้างสุขภาพ ป้องกันโรคระบาดในไก่ วิจัยพบสมุนไพรหลายชนิด เช่น ฟ้าทลายโจร ขมิ้นชัน พริก ฝรั่ง มีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันโรคติดต่อในไก่ สามารถใช้ทดแทนยาปฏิชีวนะที่กำลังเป็นปัญหาในการส่งออกได้ สกว. หนุนวิจัยเชิงลึก ทั้งสร้างมาตรฐานการใช้สมุนไพร การผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ รวมถึงวิธีการปลูก ที่นอกจากจะช่วยรักษาตลาดส่งออกไก่เนื้อ มูลค่าสี่หมื่นล้านบาทต่อปี และเปิดตลาดอาหารสุขภาพแล้ว ยังเป็นทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรไทยที่จะหันมายึดอาชีพปลูกสมุนไพรอีกด้วย หนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ก็คือ "โรคระบาด" เพราะทุกครั้งที่มีโรคระบาดเกิดขึ้นจะสร้างความสูญเสียกับผู้เลี้ยงเป็นอย่างมาก และเป็นการยากที่จะป้องกันไม่ให้โรคลุกลามไปยังไก่ที่เหลือในเล้าและฟาร์มใกล้เคียง ดังที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่หลายจังหวัดในขณะนี้ สาเหตุสำคัญของการระบาดก็คือ สภาพของการเลี้ยงไก่จำนวนมากในพื้นที่น้อย ๆ ซึ่งนอกจากสร้างความเครียดให้กับไก่แล้ว ยังทำให้ไก่กินอาหารน้อยลงและมีภูมิต้านทานโรคลดต่ำลง จนเป็นเหตุให้เกิดโรคระบาดได้ง่าย ซึ่งแนวทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพไก่ก็คือ การใช้ยาหรือสารปฏิชีวนะผสมในน้ำหรืออาหารที่ไก่กิน เพื่อช่วยลดความเครียดและกินอาหารได้มากขึ้น ซึ่งทำให้ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น น.สพ.ยุคล ลิ้มแหลมทอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวในการประชุมวิชาการ "สมุนไพรไทย : โอกาสและทางเลือกใหม่ ของอุตสาหกรรมผลิตสัตว์ ครั้งที่ 2 " ว่าขณะนี้นโยบายของกระทรวงเกษตรฯ คือ การสร้างความปลอดภัยด้านอาหารเพื่อผู้บริโภคในประเทศและการส่งออก แต่ปัจจุบันยังมีการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหาร เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของไก่อยู่ค่อนข้างมาก แต่ขณะเดียวกันมีการศึกษาวิจัยในด้านการใช้สมุนไพรอย่างจริงจังในหลายหน่วยงาน ซึ่งหากพบว่าสามารถใช้ทดแทนได้จริง ทางกระทรวงโดยกรมปศุสัตว์ก็พร้อมให้การสนับสนุน "สมุนไพรเป็นทางเลือกใหม่ในอุตสาหกรรมผลิตสัตว์ ในการแก้ปัญหาการตกค้างของสารต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้มีงานวิจัยอยู่มากพอสมควร และเราได้กำหนดมาตรการการเลี้ยงสัตว์ในบ้านเราให้ยาปฏิชีวนะน้อยที่สุด หากใช้ ต้องใช้เพื่อการรักษาเท่านั้น และหากจะใช้ต้องมีระยะหยดยาด้วย ซึ่งทำให้สมุนไพรอาจเป็นคำตอบของเรื่องนี้ก็ได้ และหากมีงานวิจัยที่ยืนยันได้ว่าใช้สมุนไพรแทนได้จริงทั้งเรื่องประสิทธิภาพและความคุ้มค่า เราก็พร้อมสนับสนุน เพราะจะมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะตลาดสินค้าอินทรีย์ที่ยุโรป ซึ่งเขาต้องการสินค้าพวกนี้ โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคา รศ.ดร.จันทร์จรัส เรี่ยวเดชะ ผู้อำนวยการฝ่ายเกษตร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สกว. กล่าวเสริมว่า การใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ไม่ได้รับการยอมรับจากตลาดต่างประเทศ เนื่องจากเกรงผลตกค้างที่อาจทำให้เกิดการดื้อยาในผู้บริโภค โดยหลังปี 2006 สหภาพยุโรปจะห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งการเจริญเติบโตในสัตว์ทุกชนิด รวมถึงไก่เนื้อส่งออกของไทย ที่ขณะนี้ส่งออกเป็นอันดับ 4 ของโลก มีมูลค่าส่งออกทั่วโลกกว่าสี่หมื่นล้านบาทในปี 2546 ภาคอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ของไทยจึงต้องเตรียมความพร้อมและปรับตัวเพื่อรับมาตรการดังกล่าว เพราะมาตรฐานด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคทุกประเทศจะมีแนวโน้มไปในทางเดียวกัน "ปัญหาคือ มีรายงานในยุโรปพบว่า สัตว์ที่ได้รับสารปฏิชีวนะในระดับต่ำ ๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายเกิดการดื้อยาปฏิชีวนะนั้น เพราะฉะนั้นการบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีการใช้สารเหล่านี้เข้าไปเป็นประจำ ก็อาจมีผลให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะในมนุษย์ได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้หลายประเทศในตะวันตกนำมาตรการต่าง ๆ มาใช้เป็นกลยุทธ์ป้องกัน เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับสารเหล่านี้ และหนึ่งในนั้นคือ มาตรการห้ามนำเข้าไก่ที่มีการเลี้ยงโดยเติมสารปฏิชีวนะ" ในเรื่องดังกล่าว ภาคอุตสาหกรรมส่งออกไก่เนื้อของไทย ทั้งในรูปไข่ไก่แช่แข็งและแปรรูป ก็มิได้นิ่งนอนใจ หลายบริษัทเริ่มหันมาศึกษาหาแนวทางในการลดละเลิกการใช้สารปฏิชีวนะเหล่านี้ ซึ่งหนึ่งในคำตอบนี้คือ "สมุนไพร" รศ.ดร. จันทร์จรัส กล่าวว่า งานวิจัยภายใต้ชุดโครงการ "การใช้สมุนไพรในการผลิตสัตว์" โดยการสนับสนุนของ สกว. ที่ผ่านมา ได้พบสมุนไพรหลายตัว เช่น ฟ้าทลายโจร ขมิ้นชัน พริก ใบหรือผลฝรั่งอ่อน มีคุณสมบัติช่วยให้ไก่ที่เลี้ยงไว้มีอัตราการรอด และการเจริญเติบโตไม่แพ้การเลี้ยงโดยเติมสารปฏิชีวนะ ซึ่งสิ่งที่ สกว. กำลังทำอยู่ในปัจจุบันคือ การพยายามหาตัวเลข หรือค่าบางตัวที่จะบอกได้อย่างชัดเจนว่า สมุนไพรมีผลดีต่อสัตว์จริง ในเชิงวิชาการนำปัญหาจากภาคอุตสาหกรรมมาแปลงเป็นโจทย์วิจัย เพื่อให้นักวิจัยสาขาต่าง ๆ ได้ช่วยกันศึกษาและสรุปผล ให้คำตอบที่ถูกต้องแก่ผู้เลี้ยงสัตว์ ศ.ดร. นันทวัน บุณยะประภัคร จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้ประสานงานโครงการชุดนี้ กล่าวว่า จากผลการวิจัยที่ผ่านมา แม้จะพบว่า มีพืชหลายชนิดมีศักยภาพในการนำมาใช้เป็นสารเติมในอาหารสัตว์ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะ หากยังอยู่ในระดับการศึกษาเพื่อดูผลจากการนำไปใช้ แต่สิ่งที่จะดำเนินการต่อในช่วง 2 ปี ข้างหน้านี้ คือการวิจัยเพื่อสร้างระบบในการนำสมุนไพรเหล่านี้มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม "ขณะนี้ งานวิจัยถึงผลของการใช้พืชเหล่านี้กับกระบวนการออกฤทธิ์ในสัตว์ เช่น ลดความเครียด หรือช่วยในการย่อย ได้ผลในเบื้องต้นแล้วพบว่า การใช้ฟ้าทลายโจร และขมิ้นชัน มีผลในทางบวกต่อไก่อย่างเห็นได้ชัด ส่วนการวิจัยในพืชชนิดอื่น เช่น พริก ใบฝรั่ง กระเทียม ก็ยังพบว่ามีผลต่ออัตราการโตและอัตราการรอดของสัตว์เหล่านี้ และนอกจากงานวิจัยทั้งสองส่วนนี้แล้ว เรายังได้สนับสนุนให้นักเภสัชศาสตร์ทำการวิจัยเพื่อหาวิธีการนำสมุนไพรเหล่านี้ มาทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ง่ายต่อการผสมในอาหาร ที่เก็บได้นาน ทนต่อความชื้น และคงตัวต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งงานนี้จะดำเนินไปพร้อมกับการนำผลิตภัณฑ์ที่ได้ไปทดสอบใช้กับการเลี้ยงไก่เนื้อและหมู เพื่อหาส่วนผสมที่เหมาะสมที่สุด คุ้มค่าที่สุด ซึ่งคาดว่าภายในปีหน้า จะมีผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรสำหรับการเลี้ยงไก่และสุกรออกมาทดลองตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งล่าสุด มีภาคเอกชนแสดงความสนใจจะเข้าร่วมทุนวิจัยและพัฒนาแล้ว นอกเหนือจากการวิจัยถึงผลการใช้ต่อสัตว์ หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้ว ศ.ดร.นันทวัน กล่าวว่า งานวิจัยอีกส่วนหนึ่งกำลังดำเนินการภายใต้ชุดโครงการวิจัยนี้คือ การวิจัยเพื่อหารูปแบบการปลูกพืชสมุนไพรที่เหมาะสมทั้งระดับเกษตรและระดับอุตสาหกรรมไทย เพราะหากขาดส่วนนี้ไป แม้สมุนไพรชนิดนั้นจะดีอย่างไร หากเราปลูกขึ้นมาไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ซึ่งงานวิจัยส่วนนั้นนอกจากช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตสัตว์แล้ว ยังอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการประกอบอาชีพของเกษตรกรไทยยุคหน้าได้อีกด้วย ท่ามกลางปัญหาโรคระบาดไก่ที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน นอกเหนือจากการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว การป้องกันในระยะยาวด้วยการประยุกต์ภูมิปัญญาไทย และภูมิความรู้ด้านสมุนไพร มาใช้ทดแทนสารที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อาจกลายเป็นทางเลือกหรือคำตอบใหม่ของการดูแลสุขภาพไก่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ายิ่งขึ้น ในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคที่เกี่ยวกับไก่รุนแรงและสร้างความเสียหายให้กับกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ เป็นอันมาก เกษตรกรบางรายสงสัยว่า ทำวัคซีนแล้วแต่ไก่ก็ยังตายหมดทั้งฟาร์ม ซึ่งกระแสข่าวที่ผ่านมาทำให้คนไทยกลัวที่จะรับประทานไก่ เพราะกลัวโรคระบาดนั้นจะติดต่อมาสู่คน ส่วนใหญ่การรักษาโรคไก่มักจะใช้กลุ่มยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะกลุ่มของไก่พื้นเมือง ซึ่งอาจมีผลให้เกิดสารตกค้างถึงมนุษย์ และการรักษาดังกล่าวก็อาจทำให้ไก่ที่เหลืออยู่เป็นพาหะของโรคต่อไปหรือส่งผลให้เชื้อโรคที่ยังอยู่มีพัฒนาการต่อก็ได้ ซึ่งล้วนเป็นปัญหาหรือก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อไป การแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยพืชสมุนไพรเป็นอีกลู่ทางหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจและมีการสนับสนุน เช่น การใช้สมุนไพรฟ้าทลายโจร (Andrographis paniculata Wall. Ex Nees) เป็นพืชสมุนไพรทางการแพทย์ มีส่วนประกอบทางเคมีเป็นสารพวก diterpene lactones ออกฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น Esherichia coli และ Salmonella typhi ยับยั้งเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจ เช่น Staphylococcus aureus และมีสรรพคุณแก้ไข้ แก้หวัด แก้โรคบิด โรคท้องร่วง และแก้แผลบวมอักเสบ ซึ่งสรรพคุณที่ดีเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นในด้านการป้องกันรักษาโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับไก่ เช่น โรคอุจจาระขาว ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียพวก Salmonella pullorum และในปัจจุบัน (ปี 2547) ได้มีโรคระบาดที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่าเป็นโรคนิวคาสเซิล สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครสวรรค์ระบุว่า เกิดจากโรค แซลโมเนลลา (Salmonellasis) หรือโรคขี้ขาว และโรคอหิวาห์เป็ดไก่ที่ชื่อ Fowl Cholera ผู้รายงานได้มีโอกาสเข้าศึกษาระดับปริญญาโทที่คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร และทำการศึกษาหาระดับที่เหมาะสมและศึกษาผลของสมุนไพรฟ้าทลายโจร (Andrographis paniculata) ในสูตรอาหารไก่ ต่อประสิทธิภาพการผลิตและลดปัญหาโรคอุจจาระขาวในไก่พื้นเมือง โดยใช้ไก่พื้นเมืองคละเพศ อายุแรกเกิด จำนวน 160 ตัว โดยมี ดร.โอภาส พิมพา และ รศ.เดช วัฒนชัยยิ่งเจริญ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ภายใต้ทุนสนับสนุนการวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวร ในการทดลองเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 14 สัปดาห์ ซึ่งในช่วงการทดลองนั้นไก่จะถูกสุ่มแบ่งออกเป็นกลุ่ม จำนวน 16 กลุ่ม กลุ่มละ 10 ตัว แต่ละกลุ่มจะถูกสุ่มแบบอิสระ ให้ได้รับอาหารทดลองที่มีสมุนไพรฟ้าทลายโจรในส่วนประกอบมากขึ้น 4 ระดับ คือ 0% 0.5% 1.0% และ 1.5% ในสูตรอาหารตามลำดับ ไก่แต่ละกลุ่มที่ได้รับอาหารในแต่ละสูตรจะให้กินได้อย่างเต็มที่ เพื่อวัดปริมาณการกินได้ ในแต่ละคอกจะมีน้ำสะอาดให้กินตลอดเวลา ในช่วงสัปดาห์ที่ 8 ครึ่งหนึ่งของไก่ที่ได้รับอาหารทดลองแต่ละสูตร จะถูกสุ่มให้ได้รับเชื้อ Salmonella pullorum ซึ่งเชื้อจะถูกฉีดเข้าปากสู่ทางเดินอาหารโดยตรง วัดอัตราการเจริญเติบโต ประสิทธิภาพการใช้อาหาร ศึกษาอาการเครียดและเหงาซึม ตลอดทั้งวัดคุณภาพซากเมื่อเลี้ยงครบ 14 สัปดาห์ ซึ่งไก่จะมีอายุ 16 สัปดาห์ จากการศึกษาพบว่าระดับของฟ้าทลายโจรที่เหมาะสมในสูตรอาหารคือ 1.0% เพราะมีผลให้ไก่กินอาหารได้มากที่สุด และมีแนวโน้มให้ไก่มีน้ำหนักตัวสูงที่สุด ตลอดทั้งอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุดด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันผลเสียอันเกิดจากเชื้อ Salmonella pullorum ที่มีต่อไก่ เช่น อาการเครียด ส่งผลต่อการกินอาหารที่ลดลงและอัตราการเจริญเติบโตที่ลดลง ซึ่งระดับฟ้าทลายโจร 1.0% ในสูตรอาหารยังสามารถทำให้อัตราการแลกเนื้อดีที่สุดในช่วงที่ไก่ได้รับเชื้อ Salmonella pullorum สมุนไพรฟ้าทลายโจรในสูตรอาหารจะช่วยทำให้เปอร์เซ็นต์ซากดีขึ้น และมีผลให้เปอร์เซ็นต์เนื้อหน้าอกมากด้วย ซึ่งในไก่พื้นเมืองสามารถย่อยสมุนไพรได้ดีกว่าไก่พันธุ์เนื้อในระบบฟาร์ม หลังจากเสร็จสิ้นการศึกษาในเดือนพฤศจิกายน 2546 จึงได้ใช้อาหารที่มีระดับฟ้าทลายโจรในสูตรอาหารระดับ 1% เรื่อยมา และหลังจากนั้นไก่ในฟาร์มที่เลี้ยงไม่มีอาการป่วยแสดงให้เห็น รวมทั้งในช่วงที่มีการระบาดที่รุนแรงและเฉียบพลันยังได้นำฟ้าทลายโจรน้ำหนักแห้งจำนวน 10 กรัม ผสมน้ำ 2.5 ลิตร ให้ไก่กินทุกวันอย่างสม่ำเสมอ พบว่าสามารถลดอัตราการตายของไก่พื้นเมืองลูกผสม 5 สายพันธุ์ ลงได้ (มีอัตราการตายประมาณ 7%) ทั้งนี้ไก่ทุกตัวต้องได้รับการทำวัคซีนตรงตามโปรแกรมที่กรมปศุสัตว์กำหนด จึงได้ทดสอบง่ายๆ ในช่วงที่ 2 โดยเริ่มจากแบ่งไก่ออกเป็น 16 คอก คอกละ 6 ตัว ซึ่งไก่ทุกตัวมีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง หลังจากนั้น ได้นำไก่ชาวบ้านที่ป่วยเป็นโรคระบาดดังกล่าว มาใส่รวมไว้ในคอกที่ 2 ให้น้ำเปล่าตามปกติ หลังจากนั้นสังเกตอาการป่วย ปรากฏว่าไก่คอกที่ 2 มีอาการป่วยอย่างเห็นได้ชัดเจน จึงเริ่มให้ฟ้าทลายโจรน้ำหนักแห้ง 10 กรัม ผสมน้ำ 2.5 ลิตร ให้ไก่กินตั้งแต่คอกที่ 5-16 ปรากฏว่า ไก่คอกที่ 1-4 ตายหมด คอกที่ 5-16 ไม่ตายและยังมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง หลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ หยุดให้ฟ้าทลายโจร และนำน้ำฉีดลงที่พื้นคอกให้เปียกแฉะ (พื้นคอกปูด้วยแกลบ) สังเกตอาการของไก่ที่เหลือพบว่ามีไก่ป่วยแต่อาการไม่รุนแรง จึงให้ฟ้าทลายโจรอีกครั้งหนึ่งผสมลงในน้ำอัตรา 10 กรัม ต่อน้ำ 2.5 ลิตร พบว่าสามารถลดอัตราการตายของไก่พื้นเมืองลูกผสม 5 สายพันธุ์ ลงได้ ซึ่งถ้าหากได้มีการทดลอง วิจัยในระดับที่ละเอียดและชัดเจน อาจจะมีประโยชน์ต่อวงการปศุสัตว์ได้มากขึ้น ดังนั้น การให้อาหารที่มีพืชสมุนไพรฟ้าทลายโจร 1.0% ในสูตรอาหารจึงยังคงสร้างกำไรและลดอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคในฟาร์มได้ และหากเกษตรกรมีการปลูกพืชสมุนไพรฟ้าทลายโจรใช้เองจะทำให้การเลี้ยงไก่ได้กำไรมากยิ่งขึ้น เพราะสมุนไพรฟ้าทลายโจรมีราคาแพง หากจะจัดซื้อมาผสมอาหารไก่เอง ซึ่งมีราคาประมาณ 200 บาท ต่อกิโลกรัม
การดูบาดแผลของไก่สามารถดูจากจุดที่ไก่มักจะตีกันมากที่สุด ซึ่งอวัยวะส่วนมากที่ไก่มักจะตีกัน มีดังนี้ โดนตีตัว เป็นแผลที่เจ็บลึกจะสังเกตได้จากบริเวณผิวหนังที่ถูกตี ส่วนมากไก่ที่ถูกตีจะแสดงอาการออกให้เห็นชัดเจน คือ ล้ม ชัก ยุบ ขนพอง ไม่เคลื่อนไหวตัว เดินแสดงอาการเจ็บปวด การตีตัวตีได้หลายที่ เช่น ตีหน้าอกหรือที่เรียกว่าตีสามเหลี่ยม เข้าปีกตีข้างลำตัว จับหัวตีแผ่นหลัง แบกเข่าจิกสันหลังตีผ่าก้น เป็นต้น แผลที่กล่าวมานี้เป็นอันตราย เพราะเป็นแผลที่เจ็บปวด กล้ามเนื้อด้านใน ถ้าโดนตีข้างลำตัว ตีแผ่นหลัง จะทำให้ไก่ที่โดนตีตัวแสดงให้เห็น โดยการเคลื่อนตัวยาก ลำบาก วิธีรักษา ใช้น้ำอุ่นประคบ บริเวณที่โดนตี จะคลายความเจ็บปวดลงได้ นำใบพลูสดมาพันผ้า ลาดน้ำลงกระเบื้องที่กำลังร้อนประคบ แล้วใช้ฝ่ามือคลึงเบาๆ ใช้เครื่องรมให้ความอบอุ่นบริเวณลำตัว เพื่อไม่ให้ไก่ตัวเย็น โดนตีดุมปีก เป็นแผลเจ็บลึกเหมือนแผลตีตัว จะแสดงอาการปีกตก ดุมปีกจะเป็นผื่น แดงช้ำ บินไม่ถนัด ถ้าโดนมากๆ จะบินขึ้นตีคู่ต่อสู้ไม่ได้ วิธีรักษา ใช้น้ำอุ่นประคบที่บริเวณโคนปีก ใช้ใบพลูสดพันผ้า ใช้น้ำลาดกระเบื้องที่กำลังร้อนประคบให้อุ่นๆ ใช้ฝ่ามือคลึงเบาๆ อาการเจ็บปวดจะลดลงได้ โดนตีหน้าคอ จะมีอาการคอหด มีอาการบวมใหญ่เหมือนไส้กอก จะชูคอสู้กับคู่ต่อสู้ยาก วิธีรักษา แก้โดยเอาผ้ากราดน้ำใช้พันด้วยใบพลู ใช้น้ำลาดกระเบื้องที่กำลังร้อนประคบ แล้วนวดคลึงเบาๆ ใช้มืออีกด้านหนึ่งจับคอยกดยึดให้ตรง แล้วนวดบริเวณหน้าคอ จะบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ โดนตีสันคอ จะมีอาการ คอโก่ง ยกคอไม่ขึ้น วิธีรักษา ใช้น้ำอุ่นประคบ นวดบริเวณสันคอ หลายๆครั้งด้วยกระเบื้องพออุ่นๆ อย่าให้ร้อนเพราะจะทำให้ผิวไก่ไหม้ ใช้มืออีกด้านหนึ่ง ชูคอไก่ขึ้น ใช้ใบพลูลาดกระเบื้องพออุ่นๆ นวดเบาๆ จะทำให้ชูคอสู้คู่ต่อสู้ได้อีก โดนตีบ้องหู แผลนี้ไก่จะแสดงอาการเจ็บปวด เพราะหูกับท้ายทอยอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน บางครั้งไก่จะออกปากร้องเพราะเจ็บปวดมาก จะทำให้หูและท้ายทอย บวม ตรึง คอเอียงไปทางด้านใด ด้านหนึ่ง จะทำให้ไก่เสียหลัก เสียศูนย์ เข้าเชิงชนไม่ถูก จึงเป็นโอกาสให้คู่ต่อสู้ตี ซึ่งจะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ วิธีรักษา ใช้ผ้ากราดน้ำชุบน้ำอุ่นนวด คลึง บริเวณหู ท้ายทอย หลายๆครั้ง แล้วปล่อยให้ไก่ยืนหรือเดิน เพื่อดูอาการว่าปกติหรือไม่ หากไก่ปกติแล้วนำมาลงกระเบื้องพออุ่นๆ คลึงนวดเบาๆอีกครั้ง แล้วใช้ผ้าคลุมหน้ารมควันให้ไก่พักผ่อน โดนตีคางหรือลูกกระเดือก แผลนี้สำคัญ เพราะจะทำให้คอบวม ทำให้หายใจลำบาก จะแสดงอาการหายใจยาก มีเสียงดังในลำคอ หนีได้ง่ายๆ วิธีรักษา แก้โดยเอาขนไก่ยอนคอ เอาเสลดหรือน้ำลายออกให้หมด ใช้น้ำมันพืชใส่ขนไก่แหย่ลงไปในลำคอค่อยๆ แล้วหมุนเบาๆ และใช้เนื้อมะเขือเทศ หรือส้มเขียวหวานให้กิน เพื่อให้ชุ่มคอ สดชื่น หายใจสะดวก ส่วนแผลบริเวณข้างนอก ให้ใช้ผ้ากราดน้ำชุบน้ำอุ่นมาประคบนวดเบาๆ โดนตีหลัง ถ้าเป็นแผลที่ไม่เคยโดนมาก่อน ไก่อาจทรุดตัวเร็วและเจ็บปวด ผิวหนังบริเวณสันหลัง แดง เป็นผื่น ปีกตก เหมือนไก่ติดโรคเหงาซึม ขนลุกขนพอง วิธีรักษา ใช้น้ำอุ่นประคบนวด คลึงเบาๆ โดยใช้มือข้างหนึ่งประคองที่อกไก่ชูขึ้น ใช้เข่าด้านหนึ่งหนุนก้น ใช้มืออีกด้านหนึ่ง นวด คลึงบริเวณแผ่นหลัง ทำหลายๆครั้ง ลงกระเบื้องเบาๆ แล้วปล่อยให้ไก่เดินดู หากอาการดีขึ้น ใช้ผ้าคลุมหัวรมควัน พักผ่อนเพื่อให้ไก่ได้มีแรง โดนตีวงแดง ไก่จะเสียหลักง่าย อาจจะแพ้ได้ภายในยกเดียวหรือ 2 ยกก็ได้ เพราะบริเวณนี้มีความสำคัญมากในการต่อสู้ของไก่ วงแดงเริ่มจากปากมายังโขมงตา ถ้าไก่ปากหลุด ตาโดนตีมีอาการบวม หรือตาปิด จะทำให้ไก่สู้ได้ลำบาก วิธีรักษา จะต้องทำการช่วยเหลืออย่างแม่นยำ รวดเร็ว ถ้าช้าจะไม่ทันเวลา เพราะต้องทำด้วยความละเอียด ปากหลุดต้องเข้าปาก ตาปิดต้องถ่างตา ซึ่งแต่ละอย่างต้องใช้เวลานาน พอสมควร แต่เวลาพักมีน้อย ดังนั้นจะต้องทำอย่างรวดเร็ว ส่วนแผลที่เกิดบริเวณวงแดง ก็ใช้ผ้ากราดน้ำชุบน้ำอุ่นๆคลึงเบาๆ และระวังอย่าให้หน้าไก่แห้งเป็นอันขาด เพราะจะทำให้หน้าไก่ตึง โดนตีหัว ต้องตรวจดูให้ละเอียดว่าไก่โดนตีถูกส่วนไหน เพราะหัวไก่มีอวัยวะอยู่ คือ ปาก หงอน ตา โขนงตา(คิ้ว) หู ท้ายทอย ว่าไกโดนตีส่วนใด ส่วนไหนเป็นรอยมีลักษณะ ช้ำ บวม หรือเป็นแผล มือน้ำจะต้องรีบแก้ไข ส่วนนั้นก่อน เพื่อให้ไก่ฟื้นทุเลาจากอาการเจ็บปวด โดนตีตา มือน้ำจะต้องรีบดูตาว่าเป็นอย่างไร ตาฟาง เลือดเข้าตา หรือตาแตก ถ้าตาฟางก็มองเห็นได้ แต่ไม่ชิดถ่างตาเข้าชนได้ ถ้าเลือดเข้าตา หรือตาแตก ไก่มองไม่เห็นแล้ว มือน้ำจะต้องเย็บปิดเอาไว้เลย คือเย็บขอบตาบน ขอบตาล่างปิดให้สนิทกัน ถ้าโดนตีซ้ำบ่อยๆจะเกิดความเสียวและเจ็บปวดมาก อาจจะหนีคู่ต่อสู้ได้ การห้ามเลือดและเย็บแผล การห้ามเลือดเป็นเรื่องจำเป็น อีกเรื่องหนึ่งในการชนไก่ เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกจากตัวไก่ หากไก่ที่ชนตกเลือดมากๆ จะทำให้ไก่วิงเวียน เป็นตะคิว บางทีอาจถึงตายได้ เพราะเลือดในร่างกายหมด การห้ามเลือดทำได้ดังนี้ แผลที่ไม่ต้องเย็บ คือถูกแทงตรงโคนปาก ตรงจมูก จะเย็บยาก จะต้องหาวิธีห้ามเลือด มือน้ำบางคนจะใช้ใบกล้วยแห้งเคี้ยวปิดแผล เผาหญ้าแห้งเอาขี้เถ้าปิดแผล ใช้ใบพลูสดเคี้ยวปิดแผล ใช้ใบย่านางเคี้ยวปิดแผล แล้วเอาน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ ที่ทำเช่นนี้ เพราะในกติกาของการชนไก่นั้นห้ามทายาที่เป็นแผนปัจจุบัน เช่นยาแดง ยาทาแผลสด และอื่นๆอีกหลายยา แผลเย็บห้ามเลือด มือน้ำต้องดูให้ดีว่าเลือดออกน้อย หรือออกมาก การเย็บจะใช้อยู่ 2 วิธี คือ เย็บแผลให้สนิทกัน ถ้าเลือดออกน้อย เย็บผูกเส้นเลือดก่อน แล้วเย็บให้แผลสนิทกัน การเย็บแผลไก่เมื่อออกมาพักยก มือน้ำจะต้องตรวจดูลักษณะแผลที่เกิดขึ้นกับไก่เสียก่อน ว่าเป็นแผลที่บริเวณส่วนไหนของไก่ ดังนี้ แผลถูกแทงลำตัว โคนปีก แทงหัว แผลธรรมดาใช้ด้ายเบอร์ 20 เย็บ โดยใช้มือหยิบแผลทั้งสองด้านให้มาชิดกันแล้วแทงเข็มจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งให้หนาพอประมาณ เพื่อป้องกันการฉีกขาดของหนังหัว แต่อย่าให้หนามาก เพราะจะทำให้หนังไก่นั้นตึงเกินไป ถูกแทงลูกตา ให้เย็บปิดตาให้สนิทเลย ใช้ด้ายเบอร์ 20 เย็บ เย็บแตก ฉีกขาด ถูกจิกหรือตีซ้ำบ่อยๆ ปักเข็มที่หนังให้หนาพอประมาณ ดึงผูกแผลให้สนิท ส่วนมากประเภทนี้จะเย็บหลายเข็มเพราะเป็นแผลที่ฉีกขาดใหญ่ ใช้ด้ายเบอร์ 8 เพราะเส้นใหญ่ไม่ขาดง่าย แผลถูกแทงในปาก ใช้เข็มเผาไฟเพื่อให้เข็มอ่อน แล้วดัดให้โค้งส่วนปลายแหลมเข็มจะอ่อนไม่หัก ใช้ครีมจับเข็มลงไปในปาก แล้วปักขอบแผลทั้งสองข้าง แล้วใช้ครีมจับเข็มดึงขึ้นมาจนพ้นปากไก่ แล้วผูกให้แผลสนิท ใช้กรรไกรเล็กยาว ยื่นลงไปตัดด้าย เลือดจะหยุดอย่างรวดเร็ว ใช้ด้ายเบอร์ 30 เพราะเส้นเล็กไม่ระคายเคือง
การเตรียมตัวให้ไก่ก่อนชน ในการนำไก่ออกชนทุกครั้ง เราต้องเตรียมของใช้ในการชนไก่ให้พร้อมเสมอ เช่น ข้าวปากหม้อ (ข้าวที่ตักก่อนคนกิน) ตระไคร้ ใบพลู ผ้าสำหรับรมควัน กระเบื้อง เข็ม ด้าย เบอร์ 8 เบอร์ 20 และมีดโกนมีดซอยผม สมุนไพรต่างๆ ที่จะนำไปช่วยเหลือไก่ในระหว่างที่ชน เตรียมให้พร้อม การเข้าปากไก่ หรือการคุมปากไก่ ทั้ง 2 อย่างนี้ไม่เหมือนกัน การคุมปากไก่ก็คือการคุมปากไก่ป้องกันไม่ให้ปากหลุดระหว่างชน (ปากบน) การคุมปากไก่ควรถักให้แน่นพอประมาณ อย่าให้แน่นจนเกินไปจะทำให้ไก่ไม่ยอมตี ควรถักสัก 4 เปาะ การคุมปากนี้ไม่ต้องใช้เข็มถักก็ได้ แต่ต่างกับการเข้าปากไก่มาก กรณีปากไก่หลุดต้องเข้าใหม่ ต้องเอาสำลีเช็ดเลือดที่ปากให้แห้ง แล้วเอาปากที่เราเตรียมไว้ต่างหากต้มในน้ำร้อนพอประมาณแล้วนำขึ้นมาจุ่มน้ำเย็น เช็ดให้แห้งแล้วนำไปสวมปากแทนปากเดิมที่หลุด แล้วเข้าปากเข้า 4 เปาะ เช่นกัน แต่ต้องดึงด้ายให้ตึงมือมากกว่าคุมปาก เพื่อป้องกันไม่ให้ปากที่สวมไว้หลุดออกระหว่างที่กำลังชนอยู่ พยายามอย่าให้แน่นจนเกินไป ถ้าแน่นเกินไปมากจะทำให้เสียเปรียบคู่ต่อสู้ การให้น้ำไก่ คำว่ามือน้ำ หมายถึงคนที่ให้น้ำไก่ในเวลาชนกัน และเรียกกันในเฉพาะบ่อนไก่ การให้น้ำไก่นั้นจะมีความละเอียดอ่อนมาก ต้องใช้ความชำนาญในการให้น้ำและเทคนิคต่างๆมากมาย จากประสบการณ์ที่ผ่านมาไก่ทุกตัวถ้ามีการชนกันเมื่อไร ถ้าไม่มีการให้น้ำก่อนหรือหลังชนส่วนมากจะตายทั้งสองฝ่าย คือ ร้อนจนตับแตกตาย ก็ลองสังเกตดูเวลาที่ไก่ลักตีกันทั้งวันโดยที่ไม่มีใครเห็นเลยปรากฏว่าตายทั้งคู่ แต่ถ้าเราเห็นเสียก่อนรีบจับมาให้น้ำทั้งสองตัวไก่ก็จะไม่ตาย มือน้ำจึงเป็นอย่างยิ่งที่จะทำอย่างไรก็ได้ที่จะช่วยเหลือไก่ให้หายเหนื่อยโดยเร็ว ช่วยให้หายปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆของร่างกายให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้ มือน้ำที่จะช่วยเหลือไก่ให้คืนสภาพเดิมได้ต้องมีความชำนาญ มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญจริงๆ และก็สามารถทำได้ทุกอย่างโดยไม่รังเกียจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับไก่ เช่นเวลาไขหัวไก่แล้วจะใช้ปากดูดหัวไก่เอาเลือดออก ใช้ปากเป่าจมูกเอาเสลดออกจากจมูกและลำคอเป็นต้น มือน้ำต้องทำโดยเร็วและต้องแข่งกับเวลาที่ทางบ่อนกำหนดให้ด้วย มือน้ำต้องให้น้ำมือเบาๆ ตามลักษณะความบอบช้ำของไก่ที่กำลังชนกัน แม้แต่การลงกระเบื้องก็เช่นเดียวกันมือน้ำต้องทำด้วยความรอบคอบ อย่าให้กระเบื้องร้อนจัดจนเกินไป การที่กระเบื้องร้อนจนเกินไปนั้น จะทำให้ไก่ตึงตามส่วนต่างๆของร่างกายเนื้อหนังจะสุกเพราะความร้อน ก็จะทำให้ไก่ไม่ยอมตีในยกต่อไป ถ้ามือน้ำให้น้ำไก่ไม่ดีจริงๆ อาจทำให้ไก่ไม่ตีไก่ก็เป็นได้ ถ้าไก่ไม่ตีไก่ 1 ยกเต็มๆโอกาสก็จะเป็นรองเขาตลอดไป เพราะถูกตี 1 ยกเต็มๆ ความบอบช้ำก็จะสะสมอยู่มาก กว่าจะแก้ไขได้ก็อาจเป็นรองเขาไปหลายขุมเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นมือน้ำเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่จะช่วยเหลือให้ไก่คืนสู่สภาพเดิมได้ หรือช่วยให้ดีกว่าเดิมบ้าง ไม่ใช่พอให้น้ำเสร็จเรียบร้อยปรากฏว่าไก่แย่กว่าเดิม แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสภาพของไก่ด้วยเหมือนกัน มือน้ำจะเป็นผู้ที่รู้ดีในสภาพไก่ที่กำลังให้น้ำอยู่จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนมือน้ำจะเป็นผู้บอกได้เอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มือน้ำบางคนปิดทองหลังพระ บางคนอาภัพ อย่างเช่นมีคนมาจ้างให้น้ำไก่ในระหว่างที่ไก่กำลังชนกันในยกที่ 2 - 3 มือน้ำคนที่ให้น้ำอยู่ไม่สามารถช่วยได้ ไก่ก็แย่เต็มทีแล้ว พอเปลี่ยนมือน้ำใหม่ ปรากฎว่าไก่อาการดีขึ้นมาตีเขาได้บ้าง ทุกคนต่างก็นิยมชมชอบ และให้กำลังใจมือน้ำ แต่ถ้าบังเอิญมือน้ำใหม่เขาให้น้ำ พอชนในยกต่อไปอาการไม่ดีขึ้น หรือเกิดแพ้ขึ้นมา นี่แหละมือน้ำจะเป็นผู้เสียหายแต่เพียงผู้เดียว และก็จะถูกต่อว่าต่างๆนานา ฉะนั้นการให้น้ำไก่ควรให้ตั้งแต่ยกแรกจนถึงยกสุดท้ายไปเลย เราจะได้แก้สถานการณ์ แก้สภาพของไก่ได้ถูกต้องทันท่วงที เราจะรู้ได้เลยว่าจะแก้ตรงไหนบ้าง การให้น้ำต่อจากคนอื่นนั้น ให้ดีก็ว่าดี ถ้าให้ไม่ดีขึ้นมาบ้างก็จะเป็นผลเสียแก่เรา คุณสมบัติของมือน้ำที่ดี ต้องไม่เอาเปรียบคู่ต่อสู้ ต้องมีความเชื่อมั่นในตัวของตัวเองเสมอ ต้องมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ ต้องมีจิตใจเป็นนักกีฬาอยู่เสมอ ต้องควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองให้ดี ต้องมีการให้อภัยซึ่งกันและกัน ต้องทำใจให้หนักแน่น เยือกเย็นอยู่เสมอ ต้องมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นบ้าง ต้องทำใจให้เป็นกลางอยู่ตลอดเวลา ต้องพยายามหาความรู้ หาประสบการณ์ที่แปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการให้น้ำไก่ มือน้ำต้องยึดอุดมคติ และคุณสมบัติของมือน้ำที่ดีเอาไว้บ้าง เพื่อความถูกต้องของตัวเองและส่วนรวม ถ้ามือน้ำไม่ยึดถือคุณสมบัติของมือน้ำที่ดีแล้ว ความยุติธรรม และความถูกต้องในวงการไก่ชนก็จะไม่มีเลย อุปกรณ์สำหรับมือน้ำ ผ้าอาบน้ำไก่ 1 - 2 ฝืน กาต้มน้ำ หรือภาชนะอื่นก็ได้ เตา - ถ่าน กระเบื้องดินสำหรับประคบ เข็ม ด้ายเบอร์8 เบอร์20 เบอร์30 สำหรับถักปาก เย็บแผล ไขหัว ทวนหัวไก่ และถ่างตา กรรไกร ใบมีด คีมจับเข็ม (สำหรับเย็บแผลในช่องปาก) ขนไก่ (เอาขนหางพัด เพราะอ่อนนิ่มตรง) เหมาะสำหรับทวนค่อยๆ หรือยวนคอ หมุนเบาๆ เอาเสลดออกจากคอไก่ ขนปีกไซ เป็นขนเส้นใหญ่ สำหรับทวนขาขณะปิดเดือย เพื่อไม่ให้พลาสเตอร์รัดขาเกินไป เครื่องรมควันสมุนไพร เพื่อให้ไก่หายเคล็ดขัดยอกหรือคลายความเจ็บปวดลง เพิ่มความอบอุ่น ให้กับไก่ไม่ให้เป็นตะคริว โต๊ะนั่ง 2 โต๊ะ สำหรับมือน้ำและผู้ช่วยมือน้ำ ผ้าหรือกระสอบปูพื้น สมุนไพรตากแห้ง สำหรับรมควันให้ไก่ขณะพักยกให้น้ำ เช่น ใบตะไคร้ ใบเป้า ใบหนาด ขมิ้นแห้ง ใบพลูสดและกระเบื้องประคบลำตัวไก่ ให้หายจากการขัดยอกเจ็บปวด วิธีให้น้ำไก่ก่อนชน ท่านต้องใช้ผ้ามุ้งบาง ๆ ชุบน้ำเช็ดตัวให้ทั่วตัวทุกเส้นขน แต่อย่างให้ปีกเปียก (เพราะปีกเป็นอุปกรณ์สำคัญในการต่อสู้) แล้วเช็ดให้แห้ง ให้กินข้าวสุก จนอิ่มแล้วปล่อยให้เดินเพื่อกระเพาะจะได้ขยายตัว และแต่งตัวเรียบร้อยแล้วนำไก่เข้าชน วิธีให้น้ำไก่ขณะพักยก เอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าอก และใต้ปีกเสียก่อนจึงค่อยเช็ดตามตัวให้ทั่ว แล้วตรวจบาดแผลตามหัว ตามตัวว่ามีผิดปกติหรือเปล่า ตรวจดูตา ตรวจดูปากให้เรียบร้อย ถ้าปากฮ้อ ก็เตรียมผูก ถ้าตาหรี่ก็ควรเสนียดตา หรือถ่างตา เสร็จเรียบร้อยแล้วให้กินข้าวสุกที่บดไว้ประมาณ 3 - 4 ก้อน แตงกวาแช่น้ำมะพร้าวอ่อน พอให้อิ่มแล้วเอาไก่นอน ๆ ประมาณ 5 นาที หลังจากนอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอากระเบื้องอุ่นมาเช็ดตามตัว ตามหน้าแข้งขาให้ทั่วบริเวณที่ถูกตี แล้วปล่อยให้เดิน และให้ไก่ถ่ายออกมาเพื่อจะได้ให้ตัวเบา (ยกต่อไปก็ทำเหมือนยกที่ 1 จนกว่าจะแพ้ ชนะกัน) การลงกระเบื้อง การลงกระเบื้องนั้น ถ้าเราไม่รู้วิธีการลง กระเบื้องเลยจะทำให้ไก่ร้อนเนื้อหนังจะพองหมด ส่วนมากจะพองตรงขั้วปีกด้านในหรือขอบอกด้านข้าง ต่อมาก็มาพิจารณาว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ส่วนต่างๆของไก่พองอีก ก็ลองเอาผ้านาบกระเบื้องแล้วรองมานาบหลังมือเพราะหลังมือเป็นส่วนที่บางที่สุด หรือลองนาบที่แก้มดู ถ้าร้อนไม่มากก็นาบตามร่างกายของไก่ได้ ไก่ก็จะไม่ร้อน ไม่พองต้องพยายามทำทุกวัน ความเคยชิน ความชำนาญ จะตามมาแต่พยายามทำมือเบาๆเข้าไว้และต้องทำให้เร็วด้วย เพราะการให้น้ำต้องแข่งกับเวลา ถ้าหากมีการชนกัน
การซ้อมไก่ต้องให้โอกาสไก่ การปล้ำไก่และซ้อมไก่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งบางครั้งต้องให้โอกาสไก่ด้วยไม่ใช่ว่าซ้อมไม่เก่งแล้วก็ปล่อยทิ้งไม่ทำการซ้อมติดต่อกันการซ้อมจะต้องซ้อมถึง 5 ครั้งแล้วสังเกตดูลีลาว่าลีลาชั้นเชิงเป็นอย่างไรเพราะไก่ไม่เหมือนนักมวยตรงที่ว่าไก่จะตีตามความถนัดของตน การซ้อมแต่ละครั้งไม่ใช่ว่าท่านตั้งหน้าตั้งตาซ้อมอย่างเดียว ต้องเอาใจใส่ดูแลรักษาเป็นอย่างดีต้องมีความสมบูรณ์ ไก่ที่มีความสมบูรณ์และสมบูรณ์ดีพอทำการซ้อมครบ 5ครั้งไม่มีอะไรดีขึ้นไม่มีการพัฒนาขึ้นมาท่านก็ควรพิจารณา การฝึกไก่ชนตามชั้นเชิง ไก่ชนแต่ละซุ้มที่เลี้ยงกันอยู่นั้นปัจจุบันมีมากมายหลายเชิงหลายลีลาบางชั้นเชิงดีลีลาสวยแต่ตีไก่ไม่เจ็บ บางตัวไม่สวยชั้นเชิงไม่มากแต่ตีไก่เจ็บ ตีหนัก ทำให้คู่ต่อสู้ออกอาการ ฉะนั้นการฝึกไก่เราต้องฝึกให้ไก่เคยชินกับเชิงของมันเสียก่อน เช่น ไก่ชนที่มีเชิงขี่ทับล็อคคอ เราต้องหาคู่ซ้อมที่เรียกว่าครูฝึก ไก่ที่จะเป็นครูฝึกต้องเป็นไก่เชิงลายหัวหรือลงให้เตี้ยกว่าตัวขี่ เมื่อเราเอามาทำการฝึก ตัวขี่ล็อคคอมันจะเคยชิน ต้องซ้อมนวมหรือลงนวมแล้วไก่ตัวเชิงดีมันจะเคยชินกับชั้นเชิงของมันถ้าเราเอาที่ตัวชั้นเชิงเหมือนกันมาฝึกไม่ตัวใดตัวหนึ่งต้องสียเชิง พูดง่ายๆว่าเสียไก่ไปหนึ่งตัว เพราะว่าตัวที่เสียเชิงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆจะสู้ไม่ได้ ก็เลยลายหัวลงไปให้คู่ต่อสู้ขี่ล็อคคอทับเอาก็กลายเป็นเสียเชิง นานๆเข้าก็ติดเป็นนิสัย หรือที่เรียกกันว่า "เสียไก่" ไก่ชนลูกหนุ่มเราเห็นแววว่าเก่ง เราไม่ควรทำการซ้อมหนัก ควรซ้อมเบาๆไปก่อน ถ้านำไปซ้อมหนัก มันก็จะเสียไก่หรือเรียกว่าถอดใจไม่คิดสู้ การซ้อมไก่ชนถี่มากเกินไป การซ้อมไก่ชนถ้าซ้อมพอดี ก็จะเป็นประโยชน์ต่อไก่ของท่าน แต่ถ้าการซ้อมนั้นมีมากเกินไปจะไม่ดีและยังจะมีโทษต่อไก่ชนอีกต่างหาก การซ้อมไก่ชนถี่ๆและมากเกินไป จะทำให้ไก่ชนของท่านอ่อนแอและไม่มีความสมบูรณ์ เมื่อนำซ้อมครั้งต่อไป จะทำให้ไก่ชนของท่านคิดแต่จะหนีการซ้อมแต่ละครั้งเราควรต้องดูความสมบูรณ์ของไก่ด้วย ถ้าไม่มีความสมบูรณ์จะทำให้ไก่ทรุดโทรมลงไปอีก เมื่อไก่ทรุดโทรมผู้เลี้ยไก่บางท่านอาจจะปล่อยปละละเลยกลายเป็นไก่หมดสภาพทันที ไก่ชนแต่ละตัวจะมีความดีในตัวมันเอง การเข้าชนมันถนัดไม่เหมือนกัน บางตัวเข้าชนลายหัวให้แต่กลับตีไม่ถูกบางตัวเตี้ยแต่เวลาเข้าชนกับตะกายเหมือนจะกินกระหม่อมเพราะความถนัดของมันแต่ละตัว และเชิงชนของมันไม่เหมือนกันนั้นเอง ไก่ชนที่ท่านนำไปซ้อมเมื่อสู้คู่ต่อสู่ไม่ไหวท่านต้องเลิกทำการซ้อมทันที ถ้าท่านปล่อยไว้จนมันทนไม่ไหวจะทำให้มันทรุดและเลี้ยงไม่ขึ้น และเมื่อทำการซ้อมไก่เสร็จท่านควรหายาแก้ซ้ำในให้ไก่กิน บริหารลำคอ ไก่ชนเวลาเข้าชน ลำคอเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้ ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา คอยหลอกล่อ หลบหลีก และจู่โจม และยังเป็นเป้าหมายในการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม ไก่ตัวใดที่มีลำคอไม่แข็งแกร่งมักจะเป็นโอกาสที่คู่ต่อสู้จะตีฝ่ายเดียวอันเป็นหนทางสู่ความพ่ายแพ้ การบริหารลำคอผู้ฝึกจะต้องนั่งลง เอามือซ้ายโอบรอบตัวไก่ให้แนบกับลำตัวมือขวาจับข้อต่อลำคอของไก่นวดเฟ้นลำคอตั้งแต่โคนคอขึ้นไปจนถึงหัว การนวดจะต้องนวดอย่างแผ่วเบา ต้องนวดขึ้นลงครั้งละ 20 - 30 หน ขณะที่นวดควรจับคอไก่โยกไปทางซ้ายทีขวาที ไปข้างหน้าและข้างหลัง สลับกันไปมา 20 - 30 ครั้งเพื่อให้คอไก่แข็งแรง เป็นการกระตุ้นลำคอเพื่อให้เกิดความต้านทานเวลาเข้าชน หรืออีกวิธีหนึ่งจับไก่ให้อยู่ระหว่างขาของผู้ฝึกให้ไก่หันหน้าไปทางเดียวกันกับผู้ฝึกใช้มือซ้ายโอบตัวไก่หรือจับที่ต้นคอหลวมๆมือขวาจับคอยืดและหดออกหลายๆครั้ง โยกไปทางซ้ายทีขวาทีหน้าหลังสลับกันไปมา 20 - 30 ครั้ง แรกๆบริหารลำคอ 6 - 8 ครั้งก็พอแล้วค่อยเพิ่มขึ้นเมื่อไก่เริ่มชิน และเริ่มนวดขยำให้แรงขึ้นกว่าเดิม แต่อย่าแรงเกินไปจนทำให้ไก่หายใจลำบาก การบริหารปีก ปีกนอกจากจะใช้ในการกระพือแล้วยังช่วยในการพยุงตัวและเข้าชนอีกด้วย หลังจากลูบน้ำและบริหารลำคอเรียบร้อยแล้ว ทำการบริหารปีกโดยการโอบไก่เข้าหาตัว ใช้มือซ้ายจับที่โคนปีกพอหลวมๆมือขวาจับตรงกลางข้อต่อของปีก จากนั้นให้นวดเฟ้นบริเวณตั้งแต่โคนปีกเรื่อยขึ้นไปจนถึงข้อต่อและปลายปีก เฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อหนัง ทำทั้งสองปีกสลับกันไปมาประมาณ 10 - 15 นาที หรือสอดมือทั้งสองข้างเข้าใต้ปีกซ้ายขวาพร้อมกันโดยหงายมือจับข้อต่อของปีกไก่ทั้งสองข้างแล้วดึงออกจนสุดปลายปีกพร้อมกับยกให้ไก่ตีนสูงขึ้นพ้นพื้นดินหรือจะจับทีละปีกปละหิ้วดึงขึ้นให้สูงให้ตีนพ้นดินสลับกันไปมาข้างละประมาณ 10 ครั้ง บริหารขา ทำโดยการบีบนวด ขยำ บริเวณกล้ามเนื้อที่ขาทั้งสองข้าง โดยนวดลูบลงเบาๆ ประมาณ 15 - 20 นาที เสร็จจากการนวดให้รวบขาทั้งสองข้างเข้าหากันยกขึ้นตรงๆบีบเข้าหากันสัก 2 - 3 ครั้ง จากนั้นพับตรงข้อต่อระหว่างแข้งขาเข้าหากันที่ละข้างโดยใช้นิ้วมือคั่นไว้ระหว่างกลางทำสลับกันทั้งสองขา นวดที่แข้ง นิ้วและดัดเบาๆ ฝึกวิ่งทางตรง ถ้าอยากให้ไก่มีร่างกายแข็งแรงจะต้องปล่อยให้วิ่งและบินในตอนเช้าเป็นประจำ นำไก่ไปปล่อยไว้ในที่โล่งเริ่มจากยกตัวไก่สูงขึ้น จับตัวยกขึ้นยกลงอย่าให้เร็วหรือช้าเกินไป ไก่จะกางปีกพยุงตัวตามจังหวะที่ยกขึ้นลงเมื่อชินแล้วยกตัวไก่ขึ้นสูงๆปล่อยให้กางปีกบินถลาไปไกลๆ หรือยกตัวไก่ขึ้นกลางอากาศ ฝึกแรกๆ อย่าให้สูงนักการยกขึ้นลงควรได้จังหวะแล้วโยนขึ้นไปบนอากาศให้ไก่บินเองอีกวิธีหนึ่งก็คือ ให้ไก่ล่อจับใส่กระเป๋าล่อ ให้ไก่ฝึกตีเจ้าของไก่พาไก่ล่อวิ่งทางตรงทันทีที่เจ้าของไก่ออกวิ่งไก่ชนจะวิ่งตามใช้เวลาฝึกประมาณ 20 นาที ฝึกล่อเป้า คือการฝึกให้ไก่ตีคู่ต่อสู้โดยที่คู่ต่อสู้ไม่โต้ตอบเพื่อให้ไก่ชนได้มีประสบการณ์ ได้ออกกำลังกาย ฝึกความคล่องตัว ฝึกนิสัย การไล่ตีคู่ต่อสู้รู้จักใช้ปากและสายตา ฝึกหลบหลีก เป็นการยั่วยุให้ไก่ดุ และได้ใจ การฝึกโดยวิธีนี้จะทำให้ไก่หลักไม่บอบช้ำ วิ่งวงล้อ ไก่ชนบางตัวอาจยังไม่ชินกับการวิ่งวงล้อ ไก่อาจตกใจ การแก้ไขไม่ให้ไก่ตกใจนั้น ให้นำไก่ขี้ตกใจนั้นเข้าขังในวงล้อแล้วล็อกวงล้อให้อยู่นิ่งอย่าให้วงล้อหมุนเมื่อไก่คุ้นเคยกับวงล้อแล้วไม่มีอาการตกใจก็ปล่อยให้วงล้อวิ่งช้าๆก่อนจนกว่าไก่จะคุ้นเคยมากกว่านี้สำหรับไก่ที่ชินแล้วจะวิ่งในวงล้อเป็นชั่วโมง ท่านต้องผ่อนวงล้อให้วิ่งช้าๆก่อนไก่วิ่งวงล้อจะมีกล้ามขาที่แข็งแกร่งแต่ต้องลงนวมหรือซ้อมนวมด้วย การวิ่งสุ่ม การวิ่งสุ่มเป็นเทคนิควิธีหนึ่งที่ใช้หลอกล่อไก่ให้ออกกำลัง โดยเฉพาะตรงส่วนขา เป็นการฝึกระบบหายใจของไก่ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับไก่มากยิ่งขึ้น ที่เซียนไก่มักพูดกันว่า “ทำให้ไก่ได้ใจ” การวิ่งสุ่มจะทำให้ไก่ดุ โกรธ อยากตีไก่มากขึ้น โดยใช้ไก่ในสุ่มเป็นตัวล่อให้วิ่งเลาะในสุ่ม และให้ไก่ตัวที่อยู่ด้านนอกหรือตัวที่เราเลี้ยงวิ่งไล่เลาะรอบสุ่ม ไก่จะวิ่งเลาะสุ่มไปเรื่อยๆ ควรใช้สุ่มตาถี่ จับเวลาประมาณ 20 - 30 นาที บินหลุมหรือโดดกล่อง ขุดบ่อลึกประมาณ 50-60 เซนติเมตรเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตรถ้าท่านไม่มีลานที่เป็นพื้นดินก็ทำเป็นกล่องไม้สูงประมาณ120 เซนติเมตร ใช้ผ้ากระสอบป่านกั้น 1 ด้านสูงเทียมอก ใส่ทรายลงไปที่ก้นหลุมหรือจะเป็นกระสอบปูแทนก็ได้เวลาฝึกจับไก่ลงไปให้ไก่บินขึ้นมาทำวันละ 100 - 200 ครั้งจะทำให้ไก่บินเก่งเป็นการฝึกกล้ามเนื้อขาและปีกไปในตัว การฝึกโยนเบาะ เพื่อให้ไก่ได้ออกกำลังปีกกำลังขา จะทำให้ปีกแข็งแรง เดินดี ตีแม่น บินดี วิธีนี้ให้ฝึกกับไก่ที่ชอบแปะหน้าตี เกี่ยวหัวตี ตีเท้าบ่า จะได้ผลดี ส่วนไก่เชิงขี่ ล็อค ม้าล่อ วิ่งชน จะไม่ดี วิธีการฝึกให้ให้วางเบาะหรือฟูก เอาไว้ ผู้ฝึกนั่งบนเก้าอี้ หงายมือซ้ายในลักษณะแบมือพยุงหน้าอกไก่ไว้ มือขวาคว่ำจับตรงโคนหางไก่เอาไว้จังหวะแรกมือซ้ายดันหน้าอกไก่โยนขึ้นให้ลอยพร้อมมือขวากดหางไก่ไว้ไก่จะลอยตัวขึ้นพร้อมกางปีกพยุงตัวซอยขาเพื่อเตรียมยืด ทำเช่นนี้ต่อกันวันแรก 20 ครั้งวันต่อมาเพิ่มทีละ 10 จนถึง 100 ครั้งเมื่อเห็นว่าไก่ไม่เหนื่อยให้ฝึกวันละ 100 ครั้ง หลังจากทำการฝึกซ้อมไก่แล้วก็ควรให้ไก่ได้พักผ่อน การพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับไก่ กล้ามเนื้อ ประสาททุกส่วนต้องการที่จะพักผ่อน เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวเพราะถ้ากล้ามเนื้อไก่ฉีก เราจะไม่มีวันรู้เลยเพราะไก่พูดไม่ได้ ช่วงพักผ่อนควรให้ไก่อยู่เฉยๆอย่าให้ไก่ออกกำลังกายเป็นอันขาดช่วงนี้อย่าให้ไก่เครียด อย่าเสียงดังจะทำให้ไก่ตกใจการฝึกซ้อมไก่ควรทำตารางการฝึกไว้ด้วยจะเป็นการดีมาก เลือดลงแข้ง เป็นอาการที่เกิดจากการซ้ำบวมของขาไก่ ไม่ใช่โรคร้ายที่จะทำให้ไก่ถึงกับตายอย่างเฉียบพลันแต่อาจจะทำให้ถึงกับพิการได้เหมือนกันหากมีความรุนแรงมากจึงควรรีบรักษาเสียแต่เนิ่นๆ สาเหตุ เกิดจากการสมบุกสมบันมากจนเกินไปในการใช้ขาอย่างไม่รู้จักบันยะบันยังของไก่เอง หรืออาจจะเกิดจากความบกพร่องของคนเลี้ยงที่อาจจะมีการออกกำลังกายหรือหักโหมให้ไก่ใช้ขามากจนเกินไป อันนี้ก็สามารถที่จะทำให้เกิดเลือดลงแข้งได้เหมือนกัน อาการ บริเวณแข้งหรือขาของไก่จะมีการบวม สัมผัสดูจะรู้สึกได้ถึงความนิ่มของแข้งอย่างชัดเจน ประกอบกับมองดูก็จะเห็นถึง ลักษณะของแข้งรวมไปจนถึงเกล็ดมีอาการช้ำ จนเกล็ดมีสีแดงอมเลือดเลยทีเดียว การป้องกัน เพียงแต่การออกกำลังกายให้ระวังในเรื่องนี้ และคอยควบคุมป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเลือดลงแข้ง วิธีการนี้จะถือว่าดีที่สุด เพราะเลือดลงแข้งจะเป็นอาการของการช้ำลำแข้ง หรือที่เรียกกันว่ารองช้ำในไก่ก็ได้ รักษาพยาบาล ขั้นที่ 1 ใช้น้ำอุ่นประคบเพื่อให้มีการคลายของกล้ามเนื้อเสียก่อน หลังจากนั้นรอให้แข้งเย็น สักหน่อย แล้วใช้น้ำเย็นประคบตามทุกครั้ง ภายหลังจากการประคบด้วยน้ำอุ่น ขั้นที่ 2 ทาน้ำมันมวยหรือครีมอะไรก็ได้ที่ทาแล้วแก้อาการช้ำบวมได้ และนวดเบาๆบริเวณ ที่ช้ำบวม ข้อควรระวัง ห้ามทำการนวดแรงๆโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้เกิดอักเสบ ช้ำบวมมากยิ่งขึ้น เสร็จแล้ว ก็ต้องระวังให้ไก่อยู่อย่างสงบ อย่าให้ไก่ใช้กำลังขามากจนเกินไป เดี๋ยวจะเกิดการช้ำบวมขึ้นมาอีก พยายาม ปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งคัดอาการก็จะทุเลาและหายไปในทีสุด อาการเลือดลงแข้งสำหรับในไก่ที่เคยเป็นมาแล้ว อาการนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ใหม่ในทุกเวลา หากเกิดมีการหักโหมอีก จึงควรระวังให้มากเลยทีเดียว
ปัญหาที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงไก่คือ เรื่องโรค เช่น โรคนิวคาสเซิลโรคหลอดลมอักเสบ โรคอหิวาต์ โรคฝีดาษ นอกจากนี้ยังมีโรคพยาธิต่าง ๆ ทั้งพยาธิภายนอก เช่น เหา ไร หมัด และพยาธิภายใน เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวแบน พยาธินัยน์ตาไก่ วิธีป้องกันโรคและพยาธิ การสุขาภิบาลที่ดี การสุขาภิบาลเป็นสิ่งสำคัญมากในการป้องกันโรคและพยาธิไก่เพราะถ้าการสุขาภิบาลไม่ดีจะเป็นสาเหตุให้ไก่สุขภาพเลวลง ไม่แข็งแรงเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งมีข้อแนะนำดังนี้ ควรดูแลทำความสะอาดเล้าและภาชนะต่าง ๆ ที่วางไว้ในเล้าไก่และบริเวณใกล้เคียงด้วยน้ำยา ฆ่าเชื้อโรค และอย่าปล่อยให้เล้าชื้นแฉะเพราะจะเป็นที่หมักหมมของเชื้อโรค สร้างเล้าให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก กำจัดแหล่งน้ำสกปรกรอบ ๆ บริเวณบ้านเล้าไก่และใกล้เคียง อาหารไก่ต้องมีคุณภาพดี อาหารที่กินไม่หมดให้ทิ้งอย่าปล่อยให้เน่าเสีย มีน้ำสะอาดให้ไก่กินตลอดเวลา ถ้ามีไก่ป่วยไม่มากนัก ควรกำจัดเสีย และจัดการเผาหรือฝังให้เรียบร้อยจะช่วยกำจัดโรคได้ เป็นอย่างดี อย่าทิ้งซากไก่ลงแหล่งน้ำเป็นอันขาด เพราะเชื้อโรคจะแพร่กระจายไปได้ กำจัดซากไก่โดยวิธีเผาหรือฝัง ไม่ควรนำไปจำหน่าย เพราะจะทำให้เกิดโรคแพร่ระบาดได้ วิธีป้องกันโรคอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่ควรซื้อไก่สดจากตลาดหรือหมู่บ้านอื่นมากิน เพราะไก่ พวกนี้อาจเป็นโรคมาแล้วก็ได้ เมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้น เจ้าของไก่ควรติดต่อหารือกับสัตว์แพทย์โดยเร็ว การให้วัคซีนป้องกันโรค โดยสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าเราจะได้มีการสุขาภิบาลที่ดีแล้ว แต่โดยปกติในสิ่งแวดล้อมจะมีเชื้อโรคอยู่ ซึ่งสามารถทำให้ไก่เป็นโรคได้ทุกเวลา เราจึงต้องสร้างความต้านทานโรคให้กับไก่ของเราโดยการ ใช้วัคซีนป้องกันโรค ควรให้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ และทำตามตารางที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีการป้องกันโรคที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยและได้ผลค่อนข้างดี การทำวัคซีนให้ได้ผลดีที่สุด สุขภาพของไก่ต้องแข็งแรงไม่เป็นโรค วัคซีนมีคุณภาพดี เก็บรักษาดีโดยต้องเก็บในที่เย็น เช่น ใส่กระติกน้ำแข็งหรือตู้เย็น ไม่ควรให้ถูกแสงแดดจะทำให้วัคซีนเสื่อมใช้ไม่ได้ผล เครื่องมือที่ใช้กับวัคซีนสะอาดและผ่านการต้มฆ่าเชื้อโรคแล้ว ฉีดวัคซีนให้ครบตามขนาดที่กำหนด ฉีดวัคซีนโดยสม่ำเสมอ และพยายามฉีดวัคซีนไก่ที่มีสุขภาพดีทุกตัวในฝูงเดียวกัน สถานที่ซื้อวัคซีน กรมปศุสัตว์ พญาไท กรุงเทพฯ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด ปศุสัตว์อำเภอ ทุกอำเภอ หมายเหตุ การซื้อวัคซีต้องนำกระติกบรรจุน้ำแข็งไปเพื่อใส่วัคซีนที่ซื้อทุกครั้ง เพราะวัคซีนต้องเก็บรักษาในความเย็นมิให้ถูกแสงสว่าง เพื่อรักษาคุณภาพของวัคซีนมิให้เสื่อมใช้ไม่ได้ผล นอกจากวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์เป็ด - ไก่ที่ไม่ต้องเก็บไว้ในความเย็น และถ้าท่านยังไม่เข้าใจวิธีใช้วัคซีนให้สอบถามจากเจ้าหน้าที่ผู้ขายวัคซีน ตารางการให้วัคซีนป้องกันโรคระบาด วัคซีน อายุ วิธีให้วัคซีน ปริมาณวัคซีน ระยะป้องกันโรค นิวคาสเซิล (สเตรนเอฟ. ครั้งที่ 1) 1 - 3 วัน หยอดจมูกหรือตา 1 - 2 หยด 3 เดือน ฝีดาษ (ครั้งที่ 1) 7 วัน แทงปีก 1 - 2 ครั้ง 1 - 2 ปี นิวคาสเซิล (สเตรนเอฟ. ครั้งที่ 2) 21 วัน หยอดจมูกหรือตา 1 - 2 หยด 3 เดือน นิวคาสเซิล (สเตรน เอ็ม.พี.) 2 - 3 เดือน แทงปีก 1 - 2 ครั้ง 6 เดือน อหิวาตห์ 2 - 3 เดือน ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ซี.ซี. 3 เดือน หลอดลมอักเสบ (ครั้งที่ 1) 14 วัน หยอดจมูกหรือตา 1 - 2 หยด 3 เดือน หลอดลมอักเสบ (ครั้งที่ 2) 28 วัน หยอดจมูกหรือตา 1 - 2 หยด 3 เดือน โรคนิวคาสเซิล เป็นโรคระบาดไก่ที่ร้ายแรงที่สุด มีระบาดทั่วไป ถ้าเกิดขึ้นในฝูงใดมักจะทำให้ตายหมดเล้า ในไก่ใหญ่ทำให้ไข่ลด อาการ ปกติจะแสดงอาการป่วยหลังได้รับเชื้อโรคเป็นเวลา 3 - 6 วัน โดยแสดงอาการหายใจลำบาก มีเสียงดังในเวลาหายใจ มีน้ำมูกไหล ท้องเสีย กระตุก คอบิด ขาและปีกเป็นอัมพาต ใช้การไม่ได้ บางตัว อุจจาระร่วงเป็นสีเขียว แม่ไก่ที่กำลังไข่จะหยุดไข่ทันที และมักตายภายใน 1 อาทิตย์ ไก่ที่หายจากโรคนี้มักจะพิการ คอบิด ขาและปีกใช้งานไม่ได้ดี และจะเป็นตัวอมโรคต่อไป สาเหตุและการติดต่อ โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง การติดต่อของโรคเป็นไปรวดเร็วมากดังนี้ ติดต่อกันโดยตรงในไก่ป่วยที่อยู่ใกล้ชิดกัน กินน้ำและอาหารร่วมกัน ติดไปกับอุปกรณ์การเลี้ยงไก่ คนและสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ตลอดจนนก หนู และแมลงวัน ก็เป็นตัวนำโรคได้ จากการชำแหละไก่ที่ป่วยและตายด้วยโรคนี้ ซึ่งในซากไก่จะมีเชื้ออยู่ในปริมาณสูงมากพอที่จะ แพร่ระบาดไปยังไก่ตัวอื่น ๆ ในเล้าและไก่บริเวณใกล้เคียงได้ การป้องกัน ป้องกันโดยการใช้วัคซีน ซึ่งมี 2 ชนิด ด้วยกันคือ ชนิดหยอดจมูกและชนิดแทงปีกซึ่งใช้กับไก่อายุ 3 เดือนขึ้นไป โรคฝีดาษไก่ เป็นโรคระบาดที่พบได้มากในลูกไก่และไก่รุ่น นอกจากนี้นกพิราบก็เป็นโรคนี้ได้ ติดต่อได้รวดเร็วมาก มักจะทำให้ไก่ตายเป็นจำนวนมาก ตัวที่ไม่ตายจะแคระแกรนไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร อาการ หลังจากไก่ได้รับเชื้อโรคแล้วประมาณ 1 อาทิตย์จะแสดงอาการ ซึ่งอาจพบได้ 2 ลักษณะ ดังนี้ เกิดตุ่มฝีดาษลักษณะคล้ายหูดเกิดขึ้นตามผิวหนังบริเวณที่ไม่มีขน เช่น บริเวณหน้า หงอน เหนียง หนังตา และขา ระยะแรกเป็นเม็ดตุ่มเล็ก ๆ ต่อมาจะค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น ที่หัวของฝีเป็นแผลมีสะเก็ด สีน้ำตาลปิดอยู่ ต่อมาจะแห้งและลอกหลุดออกไป ตุ่มฝีดาษ ชนิดที่เป็นแผลเกิดขึ้นในลำคอ ทำให้กินอาหารลำบากน้ำลายไหลยืด มีกลิ่นเหม็น จะทำให้ไก่ตายได้ สาเหตุและการติดต่อ เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อได้หลายทาง ดังนี้ ทางบาดแผล เช่น แผลที่เกิดจากถูกของมีคม แผลจากการจิกตีกันในฝูง ยุงเป็นพาหนะที่สำคัญในการนำเชื้อโรคไประบาดในไก่ตัวอื่น ๆ โดยยุงกินเลือดสัตว์ป่วย ในระยะที่มีเชื้อโรคอยู่ในกระแสเลือด เชื้อโรคก็จะเข้าไปอยู่ในตัวยุง เมื่อยุงไปกัดดูดเลือดไก่อีกตัวหนึ่งก็จะ ปล่อยเชื้อโรคเข้าไปทำให้ไก่เป็นโรค การป้องกันและรักษา ในการเลี้ยงลูกไก่เล็ก ควรระวังอย่าให้ยุงกัด ใช้ทิงเจอร์ไอโอดีนทาตามตุ่มฝีที่เกิดขึ้นเพื่อลดการอักเสบของฝีและให้ยาปฏิชีวนะละลายน้ำ ให้กินติดต่อกัน 3 - 4 วัน การทำวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษไก่ ใช้เข็มแทงปีก โดยแทง 1 ครั้งทำกับไก่อายุ 1 อาทิตย์ขึ้นไป ไก่จะมีภูมิคุ้มกันโรคฝีดาษได้นาน 1 ปี โรคอหิวาต์ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่พบได้ในไก่ เป็ด ห่าน และนกอีกหลายชนิดระบาดได้ทุกฤดูกาล อาการ ถ้าเป็นอย่างร้ายแรงเป็ด-ไก่อาจตาย โดยไม่แสดงอาการให้เห็น ถ้าเป็นอย่างอ่อน ไก่อาจจะป่วยเป็นแรมเดือน มีอาการหงอยซึม เบื่ออาหารกระหายน้ำจัด ท้องร่วง อุจจาระมีสีเหลืองหรือเขียว หงอนและเหนียงมีสีคล้ำกว่าปกติ ในรายที่เป็นอย่างเรื้อรัง เหนียงจะบวม บางตัวจะบวมที่ข้อขา ทำให้เดินไม่สะดวก สาเหตุและการติดต่อ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ติดต่อได้หลายทาง ยกตัวอย่างเช่น กินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อโรคเข้าไปและติดต่อกันต่อไปในสัตว์ป่วยที่อยู่ใกล้ชิดกัน เชื้อโรคติดไปกับอุปกรณ์การเลี้ยง คน และสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ตลอดจน นก หนู ก็เป็น ตัวนำโรคได้ เป็ด - ไก่ที่เลี้ยงใกล้แหล่งน้ำ ซากเป็ด - ไก่ที่เป็นโรคและสิ่งขับถ่ายที่ตกลงในน้ำนั้น เชื้อโรค จะแพร่กระจายไปตามกระแสน้ำได้ การชำแหละเป็ด - ไก่ ที่ป่วยและตายด้วยโรคซึ่งเชื้อโรคสามารถแพร่กระจายไปสู่เป็ด - ไก่ ตัวอื่นๆ ในเล้าและเป็ด - ไก่บริเวณใกล้เคียงได้ การป้องกันและรักษา การสุขาภิบาลสำคัญมากในการป้องกันโรค ต้องระวังความสะอาดภายในเล้าไก่ การสร้าง โรงเรือนต้อง โปร่ง เย็นสบาย ไม่อบอ้าว ไม่สกปรก การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอหิวาห์เป็ด - ไก่ เมื่อไก่อายุ 1 - 3 เดือน ฉีดวัคซีนแทงเข้ากล้ามเนื้อ หรือใต้ผิวหนัง จำนวน 1 ซี.ซี. ไก่จะมีภูมิคุ้มโรคได้นาน 3 เดือน หรือไก่อายุ 3 เดือนขึ้นไป ฉีดวัคซีนเข้า กล้ามเนื้อหรือได้ผิวหนังเช่นกัน แต่ใช้จำนวน 2 ซี.ซี. ไก่ก็จะมีภูมิคุ้มโรคได้นาน 3 เดือน และต้องทำซ้ำทุก 3 เดือน การรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาซัลฟาบางตัวละลายน้ำให้ไก่กินติดต่อกัน 2 - 3 วัน และควร หารือกับสัตวแพทย์ในท้องที่ โรคหลอดลมอักเสบ เป็นโรคติดต่อทางระบบหายใจ เกิดได้กับไก่ทุกอายุ แต่ในลูกไก่เล็กจะติดโรคนี้ได้ง่ายกว่าและตายมากกว่าในไก่ใหญ่ อาการ ไก่แสดงอาการคล้ายเป็นหวัด โดยเฉพาะในลูกไก่จะมีอาการหายใจลำบาก อ้าปากเวลาที่หายใจและมีเสียงดังครืดคราด ตาแฉะ หงอยซึม ลูกไก่มักตายเพราะหายใจไม่ออก เนื่องจากจะมีน้ำเมือกอุดในหลอดลม ส่วนในแม่ไก่จะตายน้อยกว่า แต่มีผลกระทบต่อการไข่ ทำให้ไข่ลดลงอย่างรวดเร็ว คุณภาพของไข่เลวลง เช่น เปลือกไข่บาง นิ่ม ขรุขระ ไข่ขาวเหลวเป็นน้ำ ฟักออกเป็นตัวน้อย สาเหตุและการติดต่อ เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง การแพร่ระบาดรวดเร็วมาก ไก่จะได้รับเชื้อโรคโดยการหายใจเอาเชื้อโรคที่ปลิวฟุ้งอยู่ในอากาศ หรือการกินเอาเชื้อโรค ที่ปนอยู่ในอาหารหรือน้ำเข้าไป การป้องกันและรักษา อย่าเลี้ยงลูกไก่ต่างรุ่นปนเปกัน ควรเลี้ยงไก่เล็กให้อยู่ห่างจากไก่ใหญ่ หมั่นดูแลความสะอาดเล้าไก่ และภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้ในเล้าไก่และใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรค อาหารที่ใช้เลี้ยงไก่ต้องเป็นอาหารที่มีคุณภาพดี อาหารที่ไก่กินไม่หมดให้ทิ้ง อย่าปล่อยให้ เน่าเสีย ควรกวาดล้างให้หมด โรคนี้ไม่มียารักษาโดยตรง วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ การให้วัคซีนป้องกันโรคล่วงหน้า โดยใช้ วัคซีนหยอดตาหรือหยอดจมูกลูกไก่ เมื่ออายุได้ 2 อาทิตย์ และหยอดซ้ำทุก ๆ 3 เดือน โรคพยาธิภายนอก พยาธิภายนอกได้แก่ เหา หมัด ไร ที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังและขนไก่จะดูดเลือดและกัดกินผิวหนังและขนไก่ ทำความรำคาญทั้งกลางวันและกลางไก่ไม่มีความสุข สุขภาพไก่อ่อนแอ ซูบผอมลง โลหิตจางและความต้านทานโรคลดลง การป้องกันและรักษา โดยใช้ยากำจัดพยาธิภายนอกที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เช่น โรทิโนนมาลาไทออนใช้ละลายน้ำฉีดพ่นบริเวณเล้าไก่และกรงไก่เป็นประจำอย่าให้ถูกตัวไก่ แต่เวลาพ่นจะต้องระวังเพราะเป็นอันตราย โดยใช้มาลาไทออน 5% แต่อาจใช้ละลายน้ำอย่างอ่อน ๆ ในขนาดเพียง 0.5% จุ่มไก่ลงในน้ำยาเพื่อฆ่าหมัดหรือไรตามตัวไก่ ที่ใช้ทั่วๆ ไป ได้แก่ โล่ติ๊น ทุบแช่น้ำให้น้ำขาวออกแล้วผสมน้ำลงไปพอประมาณ จับไก่ลงจุ่ม หรือจะใช้ยาผงสำเร็จรูปโรยตามตัวไก่โดยตรงก็ได้ หรืออาจใช้ยาสูบอย่างฉุนแช่น้ำในปี๊บให้เข้มข้นแล้วจับตัวไก่จุ่มลงไปหรือจะตำยาสูบอย่างฉุนให้ป่นแล้วนำไปโรยตามรังไข่และบริเวณเล้าไก่ก็ได้ หรืออีกวิธีหนึ่ง ให้ทำที่เกลือกฝุ่น โดยนำกล่องสี่เหลี่ยมลึกประมาณ 1 คืบ ใช้ยาสูบอย่างฉุนต่ำให้ป่นเป็นแป้งผสมกับปูนขาว (หรือขี้เถ้า) และดินใส่ไว้ในลัง ราดน้ำให้ชุ่มนิดหน่อยเพราะไก่ชอบเกลือกวิธีนี้จะช่วยลดเหาะและไรไก่ลงได้ ทั้งประหยัดและได้ผลดี โรคพยาธิไส้เดือน พยาธิไส้เดือนของไก่พบในไก่พื้นเมืองบ่อย ๆ พยาธิชนิดนี้จะทำอันตรายไก่ระหว่างอายุ 1 - 3 เดือนได้มาก ถ้าป้องกันมิให้ไก่เป็นพยาธินี้จนอายุ เกิน 3 เดือนไปแล้ว อันตรายและความเสียหายจะมีน้อยลง ไข่พยาธิจะปนออกมากับอุจจาระ เมื่อความร้อนและความชุ่มชื้นพอเหมาะ ไข่พยาธิจะเจริญเป็นระยะติดต่อซึ่งจะมีตัวอ่อนอยู่ภายใน ไก่จะติดพยาธิโดยกินไข่ระยะติดต่อเข้าไป อาการ ไก่อายุ 1 - 3 เดือน เมื่อเป็นโรคพยาธิชนิดนี้จะมีอาการซูบผอม เบื่ออาหาร ขนหยิก ปีกตก เติบโตช้า ท้องเสีย ถ้ามีพยาธิมาก ลูกไก่อาจตายภายใน 10 วัน ในไก่ใหญ่ จำนวนไข่ลดลงจนสังเกตเห็นได้ชัด การป้องกันและรักษา ทำความสะอาดคอก กวาดอุจจาระบ่อย ๆ แล้วนำไปทิ้งให้ไกลจากที่เลี้ยงไก่ หรือเอาไปใส่ ถังไม้ 2 ชั้น ซึ่งระหว่างกลางใส่ขี้เลื่อยไว้และมีฝาปิด และทิ้งไว้ 2 อาทิตย์ ไข่พยาธิจะถูกทำลายเอาอุจจาระ ไปใช้เป็นปุ๋ยได้ อย่าให้คอกชื้นแฉะ และพยาธิให้คอกถูกแสงแดดเสมอ การเลี้ยงลูกไก่บนตะแกรงลวดตาข่ายจะป้องกันพยาธิได้ดี การรักษาพยาธิไส้เดือน ใช้ยาพวกปิปเปอราซีนชนิดแคปซูล ขนาด 200 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. หรือใช้ผสมลงในอาหารให้ไก่กินในขนาด 0.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อไก่อายุได้ 2 - 3 เดือน ไม่ควรให้อาหาร มากเกินไป ควรผสมให้ไก่กินอาหารได้หมดในวันเดียว หรืออาจจะให้ไก่อดอาหารก่อนให้ยาก็ได้ เพื่อทำให้ ไก่อยากกินอาหารมากขึ้น ในวันที่ให้ยาถ่ายพยาธิ ต่อไปให้ซ้ำเป็นระยะ ๆ ทุก 3 - 4 เดือน จะช่วยให้ไก่ แข็งแรงสมบูรณ์ หรือถ้าไม่สะดวกในการหาซื้อจะใช้ของที่มีอยู่ในพื้นบ้านก็ได้ โดยใช้หมากแข็งที่ใช้กิน นำมาแช่น้ำให้อ่อนตัวแล้วตำให้แหลก ปั้นให้เป็นเม็ดขนาดเมล็ดข้าวโพดให้ไก่กินตัวละ 1 เม็ด โรคพยาธินัยน์ตาไก่ พยาธินัยน์ตาไก่มักพบได้เสมอในไก่ที่เลี้ยงปล่อยให้หากินตามที่รกหรือในเล้าที่มีแมลงสาบอาศัยอยู่ จะพบว่านัยน์ตาไก่จะมีพยาธิตัวเล็ก ๆ สีขาว ยาวประมาณครึ่งเซนติเมตร อยู่ในมุมตาด้านหัวตาของไก่ อาการ ไก่จะกะพริบตาบ่อย ๆ น้ำตาไหล ถูตากับหัวปีก พยาธิจะรบกวนตาไก่ทำให้ตาอักเสบเป็นหนอง ตาบวมปิดและจะพบพยาธินัยน์ตาไก่ซ่อนอยู่ที่มุมตาด้านหัวตาของไก่ สาเหตุและการติดต่อ แมลงสาบเป็นพาหะชั่วคราวที่พยาธิจะไปเจริญเติบโตจากไข่เป็นตัวอ่อนอยู่ภายในแมลงสาบ เมื่อไก่กินแมลงสาบเข้าไป ก็จะติดโรคพยาธินี้ ตัวอ่อนพยาธิจะเคลื่อนตัวจากปากของไก่เข้าไปทางช่องจมูกแล้วเข้าไปในท่อน้ำตาไปสู่ที่หัวตา การป้องกันและรักษา ต้องกำจัดแมลงสาบให้หมดไปจากบริเวณเล้าไก่ รักษาความสะอาดของเล้าไก่ และที่เก็บอาหาร อย่าให้รกรุงรังเป็นที่อาศัยของแมลงสาบได้ การรักษาโดยใช้ไม้พันสำลี เขี่ยเอาก้อนหนองที่นัยน์ตาออกแล้วใช้น้ำเกลือหรือน้ำมะเกลือนั้น หรืออาจใช้ยาฉุนแช่น้ำจนได้น้ำสีชาอ่อนๆ หยอดนัยน์ตาไก่ แล้วเขี่ยเอาพยาธิออก หยอดตาด้วยยาหยอดตาที่มียาปฏิชีวนะ เช่น คลอแรมเฟนนิคอล เพื่อลดการอักเสบของตา วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ประมาณ 2-3 วัน จนกว่าจะหายเป็นปกติ โรคไข้หวัดนก Influenza หมายถึง โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza ในตระกูล Orthomyxoviridae ซึ่งเป็น RNA ไวรัสชนิด มีเปลือกหุ้ม (envelope) โดยมี surface antigens ที่สำคัญ ได้แก่ hemagglutinin (H) มี15 ชนิด และ neuraminidase (N) มี 9 ชนิด เชื้อไวรัส Influenza
โดยทั่วไป "การเลี้ยงไก่ชน" และ "การชนไก่" เป็นของคู่กัน ของชนบท ไทยทั่วไป ดังคำพังเพยที่ว่า "เสร็จจากการทำนา ก็กัดปลาชนไก่" และการทำนากับการชนไก่ ก็เป็นของคู่กันอีก ในสมัยก่อน การนวดข้าวต้องใช้แรงจากคนตีข่าวให้ร่วง ต้องมีลานตากข้าว และต้องไปนอนเฝ้า การเลี้ยงไก่ควบคู่กันไป เพราะว่ามีข้าวเปลือกมาก เป็นอาหารไก่ ไก่ก็อุดมสมบูรณ์ในฤดูหนาวที่เก็บเกี่ยวข้าวกัน จะตรงกับฤดูผสมพันธุ์ไก่ เลี้ยงลูกไก่ หรือแม้แต่การเลี้ยงไก่ชนกัน ซึ่งจุดนี้ทำให้การชนไก่สืบสานต่อมาจนถึงปัจจุบัน การเลี้ยงไก่ชนเมืองพิษณุโลก พอจะแยกกล่าวได้ 4 ระยะ คือ 1. ยุคประวัติศาสตร์ (2523 - 2533) 2. ยุคไก่ชนพระนเรศวรรุ่งเรือง (2534 - 2544) 3. ยุครวมพลังสร้างชื่อไก่ชนพระนเรศวร (2545 - 2555) 4. ยุควิทยาศาสตร์ไก่ชนพระนเรศวร (2556 ++) 1. ยุคประวัติศาสตร์ เมืองพิษณุโลก ก็เหมือนเมืองอื่นๆ โดยทั่วไปที่ชนบทมีการเลี้ยงไก่ไทย "ไก่ไทย" คำๆ นี้ต้องวิเคราะห์กันให้ดีเหมือน "คนไทย" คือ คนไทยเกิดมาแล้ว โตขึ้นต้องใช้อาวุธมวยไทยเป็นทุกคนแต่กำเนิด โดยไม่ต้องสอน คือ เตะ ถีบเป็น ใส่ศอกเป็น ไก่ไทยก็เช่นกัน เมื่อมีการเลี้ยงไก่ตามชนบท ถ้าเจ้าของเป็นนักเลงชนไก่ ก็จะเอาไก่ตัวผู้มาซ้อมคัดเลือกตัวเก่งไว้ชน ถ้าเจ้าของไม่ใช่นักเลงชนไก่ก็จะเลี้ยงไก่ไว้ต้มแกงเป็นอาหาร และขาย ดังนั้น ไก่ไทยจึงมีวิญญาณในการชนเป็นด้วย เชื่อกันว่า ไก่ชนไทยได้เลี้ยงกันมาไม่ต่ำกว่า 700 ปี ไก่ไทยจึงเป็นภูมิปัญญาไทย เลี้ยงและคัดเลือกสายพันธุ์มาโดยตลอด เพื่อสรรหาไก่เก่งไว้ชนกัน จนกระทั่งได้พันธุ์เก่งที่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยมากว่า 400 ปีแล้ว สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้นำไปชนถึงขนาดท้าชนเอาบ้านเอาเมืองเป็นเดิมพัน คือไก่ชนเหลืองหางขาวที่ชนชนะไก่ชนของพระมหาอุปราชาที่ประเทศพม่ามาแล้ว ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องไก่ชนพระนเรศวรจากประวัติศาสตร์มาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เริ่มรับราชการที่จังหวัดพิษณุโลกครั้งแรกปี 2514 สรุปรวมความว่า "ไก่เหลืองหางขาวกินเหล้าเชื่อ" "ไก่เหลืองหางขาวไก่เจ้าเลี้ยง" เป็นไก่ที่สืบสายเลือดมาจากไก่ที่สมเด็จพระนเรศวรนำไปชนชนะไก่พม่าในวันนั้นและไก่ชนสมัยนั้น ได้สืบสายเลือดเหลืองหางขาวมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2533 เป็นวันครบรอบ 400 ปี การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระนเศวรมหาราช จังหวัดพิษณุโลกได้จัดให้มีการประกวดไก่ชนพระนเศวรขึ้น มีไก่ส่งเข้าประกวดถึง 633 ตัว เราได้ไก่ที่ชนะเลิศ 5 ตัว ที่ 1, 2, 3 และชมเชย 2 ตัว และเราได้ประกวดสุ่มไก่ด้วย มีผู้ที่ส่งเข้ามา 574 ใบ การเลี้ยงไก่ชนกับสุ่มไก่เป็นของคู่กัน เมื่อเลี้ยงไก่ต้องใช้สุ่มครอบ เมื่อไก่ชนรุ่งเรือง กิจกรรมสานสุ่มก็รุ่งเรืองด้วย จากนั้นเป็นต้นมาคนทั่วประเทศเริ่มรู้จักไก่ชนพระนเรศวรมากขึ้นตามลำดับ 1.1 การส่งเสริมภาครัฐ ในยุคนี้ ภาครัฐมองข้ามไก่ไทย มองเห็นแต่ไก่ลูกผสม คือ นำไก่ไทยผสมกับไก่เนื้อและไก่ไข่ เพื่อหวังผลการแข็งแรงจากสายเลือดไก่ไทย ได้เนื้อมากจากไก่เนื้อ และไข่ดกจากไก่ไข่ จึงมีการส่งเสริมมุ่งทางนี้ ดังนั้น การอนุรักษ์ไก่ไทยก็เป็นไปตามมีตามเกิด ขึ้นอยู่กับคนชนบทที่สืบสานการเลี้ยงอนุรักษ์พันธุ์เรื่อยมา เนื่องจากไก่สามสายเลือดมีความต้านทานโรคน้อยและตลาดไม่ต้องการ จึงทำให้มีการกระจายพันธุ์ลูกผสมน้อยลง แต่ความต้องการไก่ไทยนั้น ตลาดกลับต้องการมากขึ้น จะเห็นได้จากราคาที่ซื้อ ไก่ไทยจะมีราคาสูงกว่าไก่ลูกผสม การประกวดในงานนเรศวรมหาราชและงานกาชาดของจังหวัด ปี 2527 สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพิษณุโลก ได้จัดประกวดไก่ไทยขึ้นเป็นครั้งแรกของจังหวัดพิษณุโลกหรือครั้งแรกของประเทศไทยก็ได้ โดยจัดประกวดไก่ชน ไก่ตะเภา ไก่ขนหยอง และไก่พื้นเมืองอีกมากมาย 1.2 บ่อนไก่ เมื่อก่อนมีบ่อนไก่ในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 8 บ่อน จะเห็นได้ว่า เมื่อบ่อนไก่มาก การเลี้ยงไก่ก็มากด้วย ระยะหลังบ่อนไก่เหลือ 2 แห่งเท่านั้น แสดงว่าการเลี้ยงไก่ซบเซาลงมาก เนื่องจากกระทรวงมหาดไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสมัยนั้น คือ พลเอกสิทธิ จิระโรจน์ ได้ออกกฏกระทรวงห้ามตั้งบ่อนไก่ขึ้นมาใหม่ ดังนั้นบ่อนไก่ที่มีมานาน ต่อมาก็หมดอายุ เมื่อเจ้าของบ่อนเสี
ไก่ชนพระนเรศวรได้มีชื่อเสียงอยู่ขณะนี้ เพราะว่าได้มีการร่วมมือกันจากบุคคลต่างๆ ของพิษณุโลก ทั้งกำลังทรัพย์ กำลังกาย และกำลังใจ สนับสนุนทุกด้าน เมื่อผู้เขียนไปขอความร่วมมือทุกท่านจะแสดงความยินดี ทำให้ผู้เขียนมีกำลังใจในการทำงาน พัฒนาและอนุรักษ์ไก่ชนพระนเรศวรขึ้นมาซึ่งถือว่าเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นการพัฒนาคงจะต้องทำอย่างต่อเนื่องเกษตรกรของจังหวัดพิษณุโลก ก็พลอยมีรายได้เพิ่มขึ้นไปด้วย โดยการผลิตไก่ชนพระนเรศวรมาจำหน่าย การผลิตไก่ชนพระนเรศวรจะต้องเข้าใจความต้องการของผู้มาหาซื้อไก่เขาต้องการอย่างไร เราผู้ผลิตต้องผลิตให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ จึงจะขายของได้ ถ้าผู้ซื้อไม่รู้ไม่เข้าใจเราผู้ผลิตไก่หรือผู้ขายไก่ต้องอธิบายให้ผู้มาซื้อทรายด้วย ดังนั้นผู้ผลิตไก่ชนพระนเรศวรจึงมีความจำเป็นต้องรู้ประวัติ ความเป็นมาของไก่ชนพระนเรศวร และต้องทราบมาตรฐานพันธุ์ไก่ชนพระนเรศวรนอกจากนั้นควรจะทราบการดูเกล็ดดูลักษณะไก่เก่งด้วยเช่นกัน ดังนั้น ถ้าจะพูดถึงเรื่องการซื้อขายไก่ชนพระนเรศวร หรือเรียกว่าการตลาดไก่ชนพระนเรศวรจะขอแยกพูดออกเป็น 5 หัวข้อ คือ 1.ผู้เพาะพันธุ์ไก่ชนพระนเรศวรเพื่อจำหน่าย ทุกคนที่เพาะพันธุ์ไก่ชนพระนเรศวรจำหน่าย ชอบถามว่า “เพาะไก่แล้วจะไปขายที่ไหน” ซึ่งเป็นคำถามที่ดีและถูกต้อง แต่เป็นคำถามที่อยู่ขั้นสุดท้ายของการขายหรือการตลาด ก่อนที่จะถึงเรื่องขาย เราต้องมาสำรวจตัวเราเองบอกก่อนว่า 1.1 เรามีความรู้เรื่องประวัติความเป็นมาของไก่ชนพระนเรศวรหรือไม่ทุกท่านต้องไปทบทวนหรือหาตำราอ่านสมัยที่พระนเรศวรชนไก่ชนะพระมหาอุปราชาที่ประเทศพม่า ต้องทราบเรื่อง “ไก่เหลืองหางขาวไก่เจ้าเลี้ยง” 1.2 ต้องรู้เรื่องมาตรฐานพันธุ์ไก่ชนนเรศวร ที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพิษณุโลกได้กำหนดและทำออกมาใช้ที่เรียกว่า “ ไก่เหลืองหางขาว พระเจ้าห้าพระองศ์ ”เป็นไก่สีเหลืองทอง และควรจะรู้เรื่องเกล็ดไก่ชนโดยทั่วไปบาง แต่ของไก่ชนพระนเรศวรเราต้องรู้ดี 4 เกล็ดสำคัญคือ เสือซ่อนเล็บ เหน็บชั้นใน ไชบาลและผลาญศัตรู 1.3 ต้องรู้เรื่องสายพันธ์ไก่ชนของเราดีว่า เป็นไก่ชนที่ตีลักษณะตั้งหรือลงตีหัวหรือตีตัวหรืออื่นๆ 1.4 การสร้างคอก การผสมพันธ์ การเลี้ยงต้องเต็มที่ น่าเชื่อถือ คอกสะอาด การผสมพันธ์ต้องมีการใช้สุ่มหรือกรง เพื่อให้ปนเปกันกับพ่อพันธ์ตัวอื่นๆ 2. ตัวไก่ชนพระนเรศวรที่จะขายหรือจำหน่าย การขายไก่ชนพระนเรศวร เราจะต้องคัดไก่ขายเริ่มตั้งแต่ลูกไปจนกระทั่งไก่ใหญ่ขนาดใช้ชนได้ ตามความต้องการของผู้ซื้อ ซึ่งจะแบ่งได้ 2 พวก คือ 2.1 การขายลูกไก่ตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป ขณะนี้หลายฟาร์มได้เพาะขายอยู่ในขณะนี้ ต้องเป็นลูกไก่ที่เกิดจากการผสมพันธ์ชั่วที่ 3 ขึ้นไป จึงเชื่อแน่ว่าเมื่อนำไปเลี้ยงแล้วโตขึ้นจะได้สีเหลืองหางขาวจริง ถ้าเราไม่แน่ใจอย่าขาย เดี๋ยวผู้ซื้อจะไม่ศัทธาแล้วไม่มาซื้ออีก 2.2 การขายไก่ใหญ่นั้นเราควรคัดขาย เพื่อให้ทราบวัตถุประสงค์ของผู้ที่มาหาซื้อนั้น คือ 2.2.1 เป็นไก่สวยงามตามประวัติศาสตร์ที่ผู้ซื้อไม่รู้เรื่องการชนไก่ แต่อยากหามาเลี้ยง เพราะสวยงาม เป็นการอนุรักษ์ไก่ประวัติศาสตร์ไว้ด้วย 2.2.2 เป็นไก่ชนเก่ง ก่อนจะขายให้ผู้ที่หาซื้อไปชน เราต้องเข้าใจว่าไก่ชนพระนเรศวรถ้าเข้าตามตำราต้องเก่งทุกตัวดังคำที่ว่า “ ไก่เหลืองหางขาวกินเหล้าเชื่อ ”ถ้าเราคัดไก่โตที่จะขายออกมาแล้วเหลือไก่ที่ถูกคัดทิ้ง ก็นำมาชั่งกิโลขายก็ได้ 2.2.3 ปัจจุบันไก่ชนพระนเรศวร กลายเป็นของฝากมให้เพื่อนฝูงผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้จะบอกว่าหาซื้อไก่ไปฝากเขาหรือเขาฝากมาให้หาให้ ดังนั้นแล้วควรคัดไก่ดีๆ ไปให้เขาแต่ต้องถามเขาว่า จะซื้อไก่สวยหรือไก่เก่งซึ่งปกติจะได้ราคาดี จากที่กล่าวมาแล้วนี้ ผู้เลี้ยงไก่ชนพระนเรศวรต้องทราบประวัติสายพันธ์ของตัวเอง เพื่อที่จะบอกผู้ซื้อคุยกันรู้เรื่อง การเลี้ยงและการผสมพันธ์ที่เขามาดูที่คอก ต้องเกิดความศรัทธาว่าสะอาด ควบคุมการผสมพันธ์ไม่ปนเปกัน มีประวัติพ่อพันธ์และแม่พันธุ์ที่ดี 3. สถานที่จำหน่ายไก่ชนพระนเรศวร เมื่อเลี้ยงกันเพื่อจำหน่ายจำเป็นต้องมีตลาดเพื่อจำหน่าย ดังนั้น จึงต้องรวมกลุ่มกันผลิต รวมตัวกันขาย เพื่อจะได้ไก่จำนวนมากหรือหลากหลาย ให้ผู้ซื้อได้เลือก การจำหน่ายหรือตลาดจำหน่ายพอจะแบ่งได้คือ 3.1 ขายที่บ้านตัวเอง กรณีที่เรามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เนื่องจาก มีไก่ชนะเลิศการประกวด เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป มีไก่เก่งตีตามบ่อนต่างๆชนะบ่อยๆโดยตามมาหาซื้อที่บ้านหรือเรามีบ้านติดถนนใหญ่ เอาสุ่มไก่วางข้างถนนติดประกาศขาย หรือสร้างโรงเรือนเป็นตลาดขายไก่ชนข้างถนน ซึ่งจะพบได้ทั่วไป 3.2 การรวมกลุ่มกันขาย โดยเปิดสังเวยซ้อมหรือปล้ำไก่เพื่อขาย เพื่อเพิ่มมูลค่า โดยไม่มีการพนัน ดังเช่นของกลุ่มอำเภอบางกระทุ่ม ที่บ้านเนินกุ่มของนายสวรรณ ใจซื่อ จะซ้อมไก่ 2 อัน (ยก) ไม่มีการพนัน ทุกวันเสาร์เท่าที่ดูก็พอขายได้ ก็อยากให้ทุกกลุ่มทำเช่นนี้ 3.3 การเปิดตลาดขายไก่ชนโดยตรง ก็น่าจะทำได้แต่ปรากฏว่า เมื่อเริ่มดำเนินการแล้วไม่มีไก่ขายตลอดทั้งปี ตลาดจึงหยุดไป ดังเช่นตลาดนัดฉัตรแก้วเป็นตลาดผักที่ใหญ่มาก ให้สถานที่ฟรี เพื่อจำหน่ายกันชน อาจารย์สุรกาญจณ์ วิเชียรสรรค์ นำไก่ไปขายได้ 2-3 ครั้งก็เลิกไป ซึ่งความต้องการจะให้สมาชิกส่งไก่มาขาย แต่ไม่มีไก่มาวางขาย จึงเกิดความซบเซาไป 3.4 การขายไก่ผ่านเอเย่นต์ที่จะหาไก่ส่งไปตีต่างจังหวัด หรือนำไปขายยังต่างประเทศซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านเรา เช่น มาเลเชีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน ซึ่งจะต้องเป็นไก่ใหญ่ ตั้งแต่ 3 กิโลกรัมขึ้นไป ถ้าเป็นไก่เหลืองหางขาวจะได้ราคาแพง ซึ่งอาจารย์ประดิษฐ์ และอาจารย์สุรกาญจน์ รับเป็นเอเย่นต์ อยู่ขณะนี้ 4. ผู้ซื้อ ผู้ขายไก่ชนทุกท่านต้องเข้าใจผู้ซื้อด้วย เราต้องมีจิตวิทยาที่จะคุยกับผู้ซื้อว่าเขามาหาซื้อไก่เพื่ออะไร ยกตัวอย่าง เขามาซื้อไปฝากผู้หลักใหญ่ หรือฝากเพื่อนฝูง ควรจะหาไก่เข้าตำรา ราคาดีหน่อย เพื่อจะได้ของดีไปฝาก และจะได้ไม่ขายหน้า หรือพวกมาหาไม่เก่ง เราต้องหาไก่ซ้อมให้ดูด้วย หรือหาไก่จากเพื่อนสมาชิกให้ดูตามต้องการ ถ้าไปซื้อที่สนามของคุณสุวรรณ ใจซื่อ ก็ซ้อมเพื่อจำหน่ายอยู่แล้ว เขาจะดูเชิงซื้อได้เลย พูดง่ายๆ ว่าต้องขายไก่ตามความต้องการของผู้ซื้อ ถ้าพวกซื้อเพื่อฝากเขาควรจะอธิบายให้เขาฟังเรื่องประวัติศาสตร์ด้วย หรือเอาหนังสือที่ผู้เขียนพิมพ์แถมให้เขาเป็นคู่มือ 5.การประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์เป็นเรื่องจำเป็นมาก ปัจจุบันมีวารสารไก่ชนอยู่สิบกว่าฉบับ ซึ่งจะเป็นการรายงานข่าวไก่ชนอยู่เป็นประจำ กลุ่มเราต้องเขียนหนังสือไปลงโฆษณาบ้าง หรือยอมลงทุนจ้างโฆษณาเลย เพื่อให้กลุ่มเราเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น หรือหนังสือพิมพ์รายวันกรุงเทพฯ สำนักงานพิมพ์ตัวแทนอยู่ที่พิษณุโลกยินดีลงข่าวให้พวกเรา ขอให้กลุ่มรวมตัวกันให้แข็ง รวมทั้งทีวีช่องต่างๆ ด้วย ถ้าเราทำกิจกรรมของกลุ่มเขายินดีจะทำข่าวให้ ซึ่งผลจากการเป็นข่าวจะทำให้เราขายไก่ได้ดีขึ้น ขณะที่เรามีอาจารย์ประดิษฐ์ และอาจารย์สุรกาญจณ์ เป็นผู้เขียนลงในหนังสือนักเลงไก่ชนอยู่แล้ว ขอให้พวกเราซื้ออ่าน หรือฝากท่านเขียนลงโฆษณากลุ่มเราได้ด้วย โดยปกติกลุ่มที่มีผลงานทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และมาตรฐานการเลี้ยงดี ผู้เขียนลงเป็นข่าวให้อยู่แล้ว ขอให้ทุกกลุ่มประสานกับปศุสัตว์อำเภอ เพื่อทำกิจกรรม เช่น ให้ความรู้ การทำวัคซีน การเลี้ยง และอื่นๆ และเชิญผู้สื่อข่าวไปทำข่าวให้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพิษณุโลก ยินดีช่วยเหลือในการทำข่าวประชาสัมพันธ์ด้วยการเขียนเรื่องลงพิมพ์ในหนังสือไก่ชนให้ ถ้ากลุ่มมีกิจกรรมก็จะบอกให้รีบไปทำข่าวให้ได้ ขอให้พวกเรารวมกลุ่มให้แข็ง มีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ดังเช่น คุณสุวรรณ บอกว่า ซ้อมไก่ตีเพื่อขายไม่ค่อยดี พอเขียนข่าวลงและออกทีวีด้วย ก็ไม่มีไก่ขายอีกจะเป็นเช่นนี้ ดังนั้น ขอให้กลุ่มต่างๆ ประสานกับสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดอย่างใกล้ชิด เพื่อประชาสัมพันธ์กลุ่ม และเห็นความก้าวหน้าของผู้เลี้ยง ซึ่งจะทำให้พวกเราขายไก่ได้ราคามีรายได้เพิ่มขึ้นตามจุดประสงค์ของพวกเรา
หลักเกณฑ์การตัดสินไก่ชน
ลำดับ
รายการ
รายละเอียด
คะแนนเต็ม
ได้คะแนน
หมายเหตุ
1
รูปร่าง
คอ, หัว
5
ลำตัว
5
ขาแข้ง
5
นิ้ว
5
20
?
คอใหญ่ หัวยาว ลำตัวยาว
ต้นขาใหญ่ แข้งเล็ก นิ้วเรียวยาว
2
หัว
หงอน
5
ปาก
5
ตา
5
คาง
5
20
?
หงอนหินบาง กลางสูง
โคนปากยาว งุ้มเหมือนเหยี่ยว
ตาเล็กยาว (ไม่แหก)
คางรัดเพ๊ค (เหมือนนกยูง)
3
ขนและ
สร้อย
สร้อย
คอ
5
สร้อย
หลัง
5
ปีก
5
หาง
5
20
?
สร้อยคอยาว (ประบ่า)
สร้อยหลังยาว (ระย้า)
ปีกใหญ่หนา และยาว
หางพัดเจ็ด
4
ลักษณะ
ไก่ชน
ท่ายืน
5
ท่าเดิน
5
หน้าตา
5
เล็บ
5
20
?
ท่ายืนอกตั้งแบบสิงห์
ท่าเดินสง่า หน้าเล็ก ฉลาด
เล็บยาว แข็งแรง
5
สุขภาพ
สมบูรณ์
5
น้ำหนัก
5
จับ
5
ทั่วไป
5
20
?
ไก่ใหญ่ 3-4 กก.
ไก่กลาง 2-3 กก.
สุขภาพสมบูรณ์ ขนเป็นเงา
จับเต็มมือแน่น

            การคัดเลือกพันธุ์ไก่ชนที่ชนเก่ง มีน้ำอดน้ำทน ฉลาด และแข็งแรง ต้องทำการทดสอบพันธุ์ โดยให้ไก่ได้แสดงออกในการชนกัน และตัดสินโดยใช้กติกากรแข่งขันไก่กีฬา เนื่องจากเดิมการชนไก่ตามที่กฎหมายอนุญาตในปัจจุบัน มีข้อเสียคือ เข้าข่ายการทรมานสัตว์ และเน้นหนักไปในทางการพนัน ใช้เวลาต่อสู้ถึง 12 อัน อันละ 20 นาที ใช้ฝีมือของคนเข้ามามีบทบาทมาก มีการใช้เล่ห์กล เอารัดเอาเปรียบในการเปรียบไก่เข้าแข่งขัน การไขหัว ถ่างตา เข้าปาก เสริมปีก การโด๊ปยา หรือแม้แต่การวางยา ฯลฯ ดังนั้น เพื่อให้เป็นเกมส์กีฬาจริงๆ เป็นไปตามธรรมชาติไม่เป็นการทรมานสัตว์ เป็นที่ยอมรับของสากล จึงสมควรกำหนดกติกาการแข่งขันขึ้นใหม่

กติกาการแข่งขันไก่กีฬา

1. การเปรียบไก่เข้าแข่งขันใช้น้ำหนักเป็นเกณฑ์
2. การแข่งขันใช้เวลา 5 ยก และยกละ 15 นาที พัก 3 นาที โดยใช้นาฬิกาจับเวลา
3. ไก่ที่เข้ามาแข่งขันต้องสวมนวมเดือยมาตรฐาน
4. ไก่ที่เข้าแข่งขันบาดเจ็บ ในกรณีต่อไปนี้ให้จับแพ้
          4.1 ปากหลุด (ปากถอด หรือหักปล้องอ้อย)
          4.2 ปากหักเลือดไหล
          4.3 ตาปิด, ลอด หรือบวม มองไม่เห็น
          4.4 การบาดเจ็บในดุลยพินิจของกรรมการ 3 ท่าน ลงมติให้จับแพ้
5. การให้น้ำ ใช้ผ้าผืนเดียว ถังน้ำ 1 ใบ ซึ่งทางสนามแข่งขันเป็นผู้จัดให้
6. ห้ามใช้น้ำมันหม่อง หรือสารอื่นๆ ทาไก่โดยเด็ดขาด อันจะเกิดผลเสียต่อคู่แข่งขัน ถ้ากรรมการตรวจพบให้ปรับแพ้ได้ทันที
7. ห้ามใช้ยาโด๊ป ถ้าตรวจพบให้ปรับเป็นแพ้ฟาวล์
8. ผลการแข่งขันใช้วิธีนับคะแนนของคู่ต่อสู้โดยกรรมการ ตัวที่ตีคู่ต่อสู้มาก และตีถูกจุดเข้าเป้าหมายสำคัญๆ ก็ให้คะแนนมาก ตัวที่ได้ค